จากลูกชายคนขับรถบรรทุก สู่ผู้สร้างอาณาจักร Starbucks

ในโลกของธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เราและองค์กรขับเคลื่อนไปข้างหน้านั่นคือความเชื่อมั่นใจตัวเอง เหมือนเรื่องราวของ Howard D. Schultz อดีต CEO ผู้พลิกชีวิตจากลูกชายคนขับรถบรรทุก สู่ผู้สร้างอาณาจักร Starbucks ที่ขยายสาขาไปมากกว่า 40,000 สาขา ใน 80 ประเทศ
.
Howard D. Schultz ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่เกิดและเติบโตในย่าน Brooklyn โดยบ้านของเขาเป็นโครงการของการเคหะ และพ่อของเขาเป็นเพียงแค่คนขับรถบรรทุกและทำอาชีพเสริมเพื่อหารายได้เลี้ยงดูครอบครัว แต่เมื่อเขาอายุ 7 ขวบ ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นกับครอบครัวของเขา — พ่อของเขาประสบอุบัติเหตุจนขาหัก นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก ๆ สำหรับครอบครัวของเขา แต่สิ่งนี้กลายมาเป็นแรงผลักดันที่ฝังใจเขามาโดยตลอด เพื่อหลุดพ้นจากความยากจน มีรายได้ที่มั่นคง และไม่อยากเผชิญชะตากรรมแบบเดียวกับครอบครัวของเขาอีก
.
ด้วยความสามารถทั้งด้านกีฬาและการเรียน แต่เมื่อเขาต้องเลือกโฟกัส เขาจึงเลือกเส้นทางที่มีโอกาสมากกว่า นั่นก็คือ "ด้านกีฬา" เนื่องจากเขาคิดว่ามีคู่แข่งน้อยกว่าและมีโอกาสได้ทุนการศึกษามากกว่า จนทำให้เขาได้รับทุนการศึกษาจาก Northern Michigan University และกลายเป็นคนแรกในครอบครัวที่ได้เรียนมหาวิทยาลัย และหลังจากเขาจบการศึกษา แม้ว่าจะได้ทำงานในหลายที่ แต่เขาเลือกที่จะโฟกัสด้าน "งานขาย" เนื่องจากเป็นสิ่งที่ทำให้เขาได้ค่าตอบแทนอย่างไร้ขีดจำกัด ตามประสิทธิภาพของตัวเขาเอง
.
ในขณะที่เขาทำงานกับบริษัทผลิตเครื่องชงกาแฟ "Hammar Plast" เขาสังเกตว่ามีร้านกาแฟเล็ก ๆ แห่งหนึ่งใน Seattle ที่สั่งเครื่องจากเขาจำนวนมาก นั่นก็คือร้าน "Starbucks Coffee Tea and Spices" เป็นร้านขายเพียงเมล็ดกาแฟ แต่เป็นเมล็ดกาแฟที่พิเศษแตกต่างจากร้านอื่น ๆ ทำให้เขาตัดสินใจเดินทางไปที่ร้านนั้นด้วยตัวเขาเอง จนเขาได้รับบรรยากาศที่ดีจากร้าน รวมถึงความหลงใหลในกาแฟของผู้ก่อตั้งทั้ง 3 คน (Zev Siegl, Gerald Baldwin และ Gordon Bowker) ทำให้เขาอยากมาทำงานกับที่ร้าน แต่เขาต้องใช้เวลาเกือบ 1 ปี โน้มน้าวใจเพื่อให้ได้เข้าทำงานที่ Starbucks จนในปี 1982 เขาก็ได้เริ่มบทบาทในฐานะผู้บริหารฝ่ายการตลาดและค้าปลีก
.
หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1983 เมื่อเขาได้เดินทางไปอิตาลี จนได้สัมผัสกับวัฒนธรรมการดื่มกาแฟและร้านกาแฟแบบอิตาเลียน ทั้งในแง่ของบรรยากาศร้าน ผู้คนมาพบปะ พูดคุย ใช้เวลา และดื่มกาแฟอย่างมีศิลปะ จนกลายเป็นสิ่งที่จุดประกายแนวคิดใหม่ของเขา "ร้านกาแฟที่ไม่ใช่แค่ขายกาแฟ" แต่ควรเป็นพื้นที่แห่งความสุข อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ก่อตั้ง Starbucks ทำให้เขาตัดสินใจลาออกเพื่อสานฝันด้วยตัวเอง
.
ด้วยทุนส่วนตัวที่มีอยู่อย่างจำกัด เขาเริ่มเดินสายขอระดมทุนกับนักลงทุนกว่า 242 คน แต่มีเพียงแค่คนเดียวที่เชื่อในตัวเขา จนเขาได้เงินทุนมา 1.6 ล้านดอลลาร์ เพื่อเปิดร้านกาแฟในชื่อ "Il Giornale" ที่ถูกออกแบบให้ถ่ายทอดประสบการณ์ร้านกาแฟแบบอิตาเลี่ยนอย่างแท้จริง ร้านแห่งนี้ไม่ได้ขายกาแฟ แต่ขาย "พื้นที่" ที่ต้องการเป็น "The Third Place" จนได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว กลายเป็นต้นแบบของร้าน Starbucks ในอนาคต
.
ในปี 1987 เมื่อเจ้าของ Starbucks ประกาศขายกิจการ ทำให้เขามองเห็นถึงโอกาสทอง แต่เงินทุนยังไม่เพียงพอ จนมีนักลงทุนรายอื่นแย่งซื้อกิจการตัดหน้าเขา อย่างไรก็ตาม ด้วยความช่วยเหลือจาก "William H. Gates II" (บิดาของบิล เกตส์) ซึ่งเป็นนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในสหรัฐอเมริกา ซึ่ง William ได้ฟังเรื่องเล่าถึงความตั้งใจของ Howard ทำให้ William ช่วยเหลือจนทำให้ Howard สามารถซื้อกิจการ Starbucks ได้สำเร็จ และรวมกิจการกับ Il Giornale กลายเป็น "Starbucks Corporation"
.
หัวใจของความสำเร็จของ Starbucks ไม่ใช่แค่การขายกาแฟ แต่ขาย "The Third Place" หรือสถานที่แห่งที่สาม นอกจากบ้านและสถานที่ทำงาน โดย Howard กล่าวว่า "เราไม่ได้ขายกาแฟ แต่ขายประสบการณ์" เขาเชื่อว่าลูกค้าจะมีความสุขได้ ก็ต่อเมื่อพนักงานมีความสุขก่อน ดังนั้น Starbucks จึงเป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์ที่มีการดูแลพนักงานอย่างลึกซึ้ง ทั้งสวัสดิการ สิทธิประโยชน์ หุ้นของบริษัท และวัฒนธรรมองค์กรที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ
.
จนในปี 2008 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ หลาย ๆ บริษัทก็ได้รับผลกระทบรวมถึง Starbucks ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้คู่แข่งก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แต่สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ "จิตวิญญาณของ Starbucks เริ่มหายไป" ทำให้ Howard ที่พักงานจากตำแหน่ง CEO ไปนานมากกว่า 8 ปี กลับมารับตำแหน่ง CEO อีกครั้ง และตัดสินใจที่จะปิดสาขาทุกสาขาเป็นเวลา 3 ชั่วโมง เพื่อให้พนักงานทุกคนได้รับฟังความตั้งใจที่เขาสร้าง Starbucks ขึ้นมา และการเป็น The Third Place สำคัญมากแค่ไหนกับ Starbucks
.
แม้ว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจปิดสาขาทุกสาขาเป็นเวลา 3 ชั่วโมง จะทำให้ราคาหุ้นตกลงมา แต่เขาเชื่อว่า "เจ็บระยะสั้น เพื่ออนาคตระยะยาว" ซึ่งเป็นทัศนคติของผู้นำอย่างแท้จริง ที่ไม่กลัวจะกลับสู่จุดเริ่มต้น เพื่อปกป้องสิ่งที่มีค่าที่สุดของธุรกิจ นั่นคือ "พนักงานและแบรนด์" และเขาเกษียณในปี 2018 แต่กลับมารับตำแหน่ง CEO ชั่วคราวอีกครั้งในปี 2022 ก่อนจะก้าวลงจากตำแหน่งในปี 2023
.
สุดท้าย เรื่องราวของ Howard D. Schultz เป็นบทพิสูจน์ว่า "ต้นทุนชีวิตไม่ใช่ข้อจำกัด แต่เปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงของความฝันได้" สิ่งที่เขาทำไม่ใช่เพียงแค่การสร้างแค่ธุรกิจ แต่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติวงการการดื่มกาแฟและร้านกาแฟได้ จนเกิดวัฒนธรรมที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนทั่วโลก สำหรับผู้ประกอบการ หนึ่งสิ่งที่สร้างความแตกต่าง คือ ความกล้า ความมุ่งมั่น ความชัดเจนในเป้าหมาย และความเชื่อที่ว่า "เราทำได้" แม้คนอื่นจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ก็ตาม
.
“Risk more than others think is safe.
Dream more than others think is practical.”
- Howard D. Schultz
.
.
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER
ที่มาเนื้อหาจาก. THE INSIDER - ดิ อินไซเดอร์