สำรวจ 9 หุ้นที่ร่วงแรงรอบปี และมีค่าพีอีที่ต่ำสุดรอบ 5 ปี พบหุ้นดัง FN-WORK – FSMART-ICHI – BEAUTY ติดขบวนร่วงแรงมากกว่า 60-70% นักวิเคราะห์ชี้โดยภาวะตลาดผสมปัจจัยส่วนตัวทุบ แนะศึกษาเข้มอนาคตก่อนลงทุน
ในรอบ 1 ปี นับตั้งแต่ 21 ธันวาคม 2560-22 ธันวาคม 2561 พบว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงต่ำลงมาราว 8% แต่กลับพบว่ามีหุ้นจำนวนมากที่ราคาร่วงลงมากกว่า 8% จากการรวบรวมสถิติหุ้นที่ร่วงลงมากในรอบ 1 ปีจนมีพีอีต่ำกว่า 50 เท่าและต่ำกว่าค่าเฉลี่ยรอบ 5 ปี พบว่ามีจำนวนหุ้นราว 189 หุ้นที่ราคาร่วงมากกว่าดัชนีหุ้นไทย
โดยหุ้นที่ลงแรงอันดับ 1 คือ FN ร่วงจากราคา 5.50 บาท มาอยู่ที่ 1.47 บาท ลดลงถึง 73.21%
FN คือ บริษัท เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจศูนย์จัดจำหน่ายสินค้า ประเภท “เอ๊าท์เลท” โดยสินค้าที่วางจำหน่ายเป็นสินค้าที่อยู่ภายใต้ตราสินค้าของบริษัท และตราสินค้าอื่นๆ
สาเหตุของการลงของหุ้นเนื่องจากประสบปัญหาประชาชนไม่มีกำลังซื้อ กำไรที่ลดลงโดย 9 เดือน 2561 มีกำไรเพียง 21.63 ล้านบาท ลดลงจาก 9 เดือน 2560 ถึง 65% เนื่องจากบริษัทมีรายได้ที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ประกอบกับการส่งเสริมการขาย และค่าใช้จ่ายในการเปิดสาขาใหม่ทำให้กำไรลดลงมาก แต่บริษัทก็หวังว่าในอนาคตผลงานจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากเปิดสาขาที่ระยองไปแล้ว
อันดับ 2 คือ ACAP เคยอยู่ที่ 10.90 บาท ปัจจุบัน 3.08 บาท ร่วงลงถึง 71.74%
ACAP หรือ บริษัท เอเชีย แคปปิตอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ดำเนิน 1. ธุรกิจการให้สินเชื่อ แบ่งเป็น สินเชื่อภาคธุรกิจ (Corporate Loan) และสินเชื่อรายย่อย (Retail Loan) 2. ธุรกิจให้บริการรับจ้างดำเนินงาน (Business Process Outsource Services) เช่น ให้บริการ Call center และ การติดตามหนี้ 3. ธุรกิจให้บริการด้านที่ปรึกษากฎหมายและสอบทานกระแสเงินสด (Cash Monitoring)
สาเหตุการดำดิ่งของหุ้นนี้เกิดจากปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำกำไรได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 233 ล้านบาท แต่ทว่าในปีนี้กลับเจอปัญหาปล่อยสินเชื่อลดลง แต่กลับมีดอกเบี้ยจ่ายที่สูงจากการกู้ยืมเงินและการออกหุ้นกู้ กระทั่งขาดทุนในไตรมาส 3 โดย 9 เดือนปีนี้บริษัทมีกำไรแค่ 39.39 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนถึง 82% แต่บริษัทก็ยังมีสตอรี่ในอนาคต คือ การนำ “บริษัท โกลบอล เซอร์วิส เซ็นเตอร์ หรือ (GSC)” ผู้ให้บริการธุรกิจศูนย์บริการข้อมูล และธุรกิจติดตามและทวงถามหนี้ เข้าตลาด mai โดยจะเสนอขาย IPO จำนวน 90 ล้านหุ้น
อันดับ 3 คือ WORK จากราคา 84.25 บาท เหลือ 24.20 บาท ลดลง 71.28%
WORK หรือ บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ผู้การผลิตรายการโทรทัศน์ช่อง WORK ต้องเจอกับมรสุมทีวีดิจิทัล และเรตติ้งที่ถอยลง นั้นทำให้กำไรที่เคยทะยานอย่างมากถึง 904 ล้านบาท ในปี 2560 ถดถอยลงมาโดยช่วง 9 เดือนมีกำไร 422.77 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 54% แต่กำไรก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่าปี 2559 ที่มีกำไรทั้งปี 198 ล้านบาท
แม้ว่ารายได้จากธุรกิจทีวีจะลดลง แต่ WORK ก็พยายามที่จะขยายธุรกิจไปสู่รายได้อื่นๆทั้ง การจัดคอนเสิร์ตและละครเวที ที่มีรายได้โตอย่างมาก การรับจ้างจัดงาน รวมไปถึงการขายสินค้า Studio Shop และเครื่องสำอางค์ Let Me In Beauty โดยสิ่งที่ยังต้องตามต่อคือมาตรการช่วยเหลือทีวีดิจิทัล และการปั๊มเรตติ้งกลับคืนของ WORK
อันดับ 4 คือ FSMART จากราคา 18.80 เหลือ 5.60 บาท ลดลง 69.23%
FSMART หรือ บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจให้บริการเติมเงินโทรศัพท์มือถือ ชำระเงินออนไลน์ ผ่าน “ตู้บุญเติม” โดยนักลงทุนผลกระทบจากการแข่งขันกับช่องทางเติมเงินมือถืออื่นๆ โดยเฉพาะการเติมเงินออนไลน์ จะกระทบกับ FSMART แต่ทว่าผลกำไรที่ออกมาในช่วง 9 เดือนแรกกลับยังอยู่ในระดับ 440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.82% โดยบริษัทเริ่มไปปรับแผนบริการใหม่ๆ เพื่อเสริมรายได้ เช่น ขายซิมโทรศัพท์มือถือ, ระบบ E-KYC เพื่อให้บริการเปิดบัญชีธนาคาร , EV-Charger , และล่าสุด สินเชื่อส่วนบุคคล แต่ก็ยังมีความไม่ชัดเจนมากนัก
อันดับ 5 คือ CPT จากราคา 2.12 บาท เหลือ 0.68 ลดลง 67.92%
CPT : บริษัท ซีพีที ไดร์ แอนด์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัทประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายตู้ไฟฟ้า จำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าและระบบควบคุมไฟฟ้าที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงให้บริการติดตั้งตู้ไฟฟ้า และก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อย เพิ่งเข้าตลาดไปในปีที่ผ่านมา และมีการขายหุ้นออกมาของกรรมการออกมา ขณะที่ผลประกอบการในรอบ 9 เดือน มีกำไรสุทธิเพียง 16.64 ล้านบาท ลดลงถึง 82.57% จากรายได้ที่ต่ำลงตามการตั้งโรงงานที่ลดลง และธุรกิจน้ำตาลทรายลูกค้าหลักตกต่ำ ทำให้ผลประกอบการของบริษัทย่ำแย่ไปด้วย อย่างไรก็ดีบริษัทยังเข้าประมูลงานใหม่ทั้งในและต่างประเทศ โดยในปี 2562 บริษัทจะรู้ผลการประมูลงานใหม่ที่จะทยอยประกาศในช่วงต้นปีเป็นต้นไปอีกประมาณ 400 ล้านบาท
อันดับ 6 ICHI ผู้ผลิตชาเขียวที่ราคาร่วงลงมาถึง 65.75% เหลือ 3.10 บาทเท่านั้น การแข่งขันที่สูงและความซบเซาของธุรกิจชาเชียว ทำให้ ICHI มีกำไร 9 เดือนเหลือกำไรเพียง 26 ล้านบาทเท่านั้นลดลง 88.17% อันดับ 7 GCAP ธุรกิจสินเชื่อที่ราคาลงมาถึง 65.18% เหลือ 2.34 บาท บริษัทมีกำไรที่เติบโต แต่ด้วยการเพิ่มทุนจำนวนมากที่ราคา 2 บาท อัตราส่วน 2:1 ทำให้ราคาหุ้น GCAP ร่วงต่ำลงมา ล่าสุด GCAP ได้ร่วมทุบกับ บริษัททางการเงินชั้นนำจีน 9F International Holding เพื่อร่วมลงทุนธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลรายย่อยในประเทศไทย ในรูปแบบของดิจิทัลเลนดิ้ง
อันดับ 8 BEAUTY หุ้นอดีตขวัญใจนักลงทุนโดนเทหนัก จากปัญหาการส่งออกไปจีนกดดันให้ราคาหุ้นลงมาแรง 64.82% เหลือ 7 บาท แม้ผลการดำเนินงานกำไร 9 เดือนจะไม่ได้ตกต่ำมาก แต่ด้วยความกังวลและจุดเด่นที่หายไปทำให้เกิดความกังวล แม้ผู้บริหารจะยืนยันว่าทิศทางธุรกิจยังดี และแก้เกมไปที่ Cross Border E-Commerce แต่ก็ยังโดนกระหน่ำอยู่
อันดับ 9 ZIGA ราคาร่วง 63.85% เหลือ 1.88 บาท และอันดับ 10 THE ราคาร่วง 62.01% เหลือ 1.74 บาท
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า ปีนี้หุ้นที่ร่วงต่ำลงมากส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นกลุ่มขนาดกลางถึงเล็กเนื่องจากภาวะตลาดหุ้นไม่ดี และมีแรงเทขายมาโดยตลอดราว 40-50% ส่วนหุ้นที่ลงมามากๆ ระดับ 60-70% เกิดจากปัจจัยส่วนตัวด้วย ซึ่งถือว่าโดน 2 เด้ง อย่างไรก็ดีนักลงทุนควรที่จะกลับไปศึกษาธุรกิจเพิ่มเติมโดยเฉพาะ บิสิเนสโมเดล และตรวจสอบว่าราคาหุ้นลงมาถึงในจุดเดียวกับก่อนขึ้นหรือยัง รวมไปถึงต้องพิจารณาอุตสาหกรรมว่าถูกคุกคามจากเทคโนโลยี หรือการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจหรือไม่ ถ้าไม่ใช่อย่างกลุ่มท่องเที่ยวโรงแรม ก็สามารถที่จะเป็นจังหวะซื้อได้
แหล่งที่มา : ทันหุ้น