เปรียบเทียบผลกระทบของมาตรการแบงค์ชาติ

เปรียบเทียบผลกระทบของมาตรการแบงค์ชาติในการแทรกแซงค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากจนเกินไป :

1) วันที่ 19 ธันวาคม ปี พ.ศ 2549 :

1.1) ผู้ว่าแบงค์ชาติ : หม่อมราชวงค์ปรีดิยาธร เทวกุล 

1.2) มาตรการ : กันสํารอง 30%

1.3) ผลกระทบต่อตลาดหุ้น :

1.3.1) ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง -147 จุด ( -20.14% ) ลงไปอยู่ที่ 583 จุด จาก 730 จุด และโดน Circuit Breaker ครั้งแรกในประวัติศาตร์ของตลาดหุ้นไทย  ที่ -10% แรก และเกือบโดนครั้งที่ 2 ในวันเดียวกันเพราะตลาดหุ้นไทยอยู่ในระหว่างการปรับตัวลงไปที่ -20% แต่สุดท้ายก็เด้งกลับมาปิดที่ 622 จุด อย่างรวดเร็ว เหลือ - 108 จุด ( -14.79% ) เพราะแบงค์ชาติออกมาประกาศทบทวนมาตราการที่จะใช้กันสํารองเฉพาะตราสารหนี้เท่านั้นในช่วงบ่ายวันนี้ วันที่ 19 ธันวาคม ปี พ.ศ 2562 

1.3.2) นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิประมาณ 25,000 ล้าน บาท ภายในวันเดียวคือวันที่ 19 ธันวาคม ปี พ.ศ 2549

2) วันที่ 12 กรกฎาคม ปี พ.ศ 2562 :

2.1) ผู้ว่าแบงค์ชาติ : คุณวิรไท สันติประภพ

2.2) มาตรการ : 

2.2.1) มาตรการที่หนึ่ง คือปรับหลักเกณฑ์มาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท ในส่วนของยอดคงค้างบัญชีเงินฝากสกุลบาทของผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศให้เข้มขึ้น โดยปรับเกณฑ์ยอดคงค้าง ณ สิ้นวันของบัญชีให้ลดลง จากเดิมกำหนดไว้ที่ 300 ล้านบาท เป็น 200 ล้านบาท ต่อรายต่อประเภทบัญชี มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม ปี พ.ศ 2562 นี้

2.2.2) มาตรการที่สอง คือยกระดับการรายงานข้อมูลการถือครองตราสารหนี้ไทยของนักลงทุนต่างชาติให้ลึกขึ้น ถึงระดับชื่อของผู้ได้รับผลประโยชน์แท้จริง เพื่อติดตามพฤติกรรมการลงทุนในตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะเพื่อใช้เป็นที่พักเงินระยะสั้น มีผลบังคับใช้ตั้งแต่งวดการรายงานข้อมูลเดือนกรกฎาคมนี้

2.3) ผลกระทบต่อตลาดหุ้น :

2.3.1) ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงน้อยมากจาก 1,740.45 จุด มาทําจุดตํ่าสุดที่ 1,728.36 จุด โดย -12.09 จุด   ( หรือ -0.69% ) และปิดที่ 1,731.59 จุด โดย -8.86 จุด ( หรือ -0.51% )

2.3.2) นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยสุทธิ +457.10 ล้าน บาท

ผู้โพสต์มีความเห็นเพิ่มเติมว่ามาตรการของแบงค์ชาติของไทยเป็นแค่มาตราการระยะสั้นเพื่อสะกัดกั้นไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไปเท่านั้นเอง แต่ในระยะกลางถึงระยะยาว ค่าเงินบาทก็น่าจะยังคงแข็งค่าต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพราะเฟดมีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ย และผ่อนคลายทางการเงินมากขึ้น ตามนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นั่นเอง