ห้องเม่าปีกเหล็ก

อธิบายความเสี่ยง ธุรกิจมี Operating Leverage จากผลประกอบการล่าสุดของ MK สุกี้

โดย theMENU
เผยแพร่ :
18 views

อธิบายความเสี่ยง ธุรกิจมี Operating Leverage จากผลประกอบการล่าสุดของ MK สุกี้ | MONEY LAB

Operating Leverage คำง่าย ๆ แต่ความหมายสุดลึกล้ำ คำศัพท์สุดสำคัญ ที่เราควรรู้ ในโลกการลงทุน

เพราะสิ่งนี้ อาจจะช่วยเราในการเพิ่มโอกาสทำกำไรในการลงทุน และในขณะเดียวกัน ก็เป็นสิ่งที่คอยเตือนเรา ให้ระมัดระวังให้ดี ถ้าสิ่งที่เราคิดเกิดผิดพลาดขึ้นมา

หากสงสัยว่า Operating Leverage คืออะไร และทำไมเราถึงควรเข้าใจเรื่องนี้

MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ

 

 

Operating Leverage คือกระบวนการที่บริษัทมีกำไรเติบโตมากกว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น

โดยบริษัทที่จะมี Operating Leverage มักจะเป็นบริษัทที่มีต้นทุนในการทำธุรกิจส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่ หรือ Fixed Cost

ที่เมื่อทำธุรกิจไปแล้วจนรายได้เติบโต ต้นทุนในการทำธุรกิจจะเพิ่มขึ้นตามน้อยมาก เลยทำให้เราได้เห็นกำไรเติบโตมากกว่ารายได้

ลองมาดูตัวอย่างกันแบบง่าย ๆ

สมมติว่าบริษัท A ในปี 2566 มี

- รายได้รวม 100 บาท

- ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจรวม 50 บาท โดยในส่วนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นต้นทุนคงที่

- ทำให้บริษัทจะเหลือกำไร 50 บาท

แต่พอถึงปี 2567 ผลประกอบการของบริษัท A มีการเติบโตดี

- รายได้เติบโต 10% ทำให้มีรายได้รวม 110 บาท

- เนื่องจากบริษัทมีต้นทุนส่วนใหญ่คือต้นทุนคงที่ พอรายได้เติบโต ค่าใช้จ่ายจึงเพิ่มขึ้นไม่มาก สมมติว่าเป็นสัก 6% ก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายรวม เพิ่มขึ้นมาเป็น 53 บาท

- เมื่อนำมาคำนวณแล้ว กำไรของบริษัทจะเท่ากับ 67 บาท คิดเป็นการเติบโตสูงถึง 34%

จะเห็นว่า บริษัท A มีรายได้เติบโต 10% แต่กำไรกลับเติบโตได้ถึง 14% เลย

แต่รู้หรือไม่ว่า Operating Leverage ก็ไม่ได้ส่งผลแค่ทางด้านบวกเพียงด้านเดียวเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วกลับส่งผลในทางตรงข้ามด้วย ถ้ารายได้ของบริษัท เกิดเติบโตน้อยลง

ตัวอย่างจากบริษัท A เช่นเดิม แต่สมมติว่า ในปี 2567 รายได้ของบริษัทไม่ได้เติบโต ในทางตรงกันข้ามลดลง -10% แทน

- รายได้ก็จะเหลือ 90 บาท

- เช่นเดิม แม้ค่าใช้จ่ายของบริษัทจะเป็นต้นทุนคงที่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นเท่าเดิมกับปีที่แล้วเสมอไป

เพราะโดยปกติ ค่าใช้จ่าย เช่น เงินเดือนพนักงาน, ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าเช่า ก็มักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามผลของเงินเฟ้อเสมอ

โดยเราจะสมมติว่า ค่าใช้จ่ายรวมก็ยังจะเติบโตที่ 6% เหมือนเดิม ก็จะเท่ากับ 53 บาท

- พอคำนวณใหม่ กำไรของบริษัท A ในปี 2567 ก็จะเหลือแค่ 37 บาท คิดเป็นการลดลงถึง -26%

จะเห็นว่าการที่บริษัทมี Operating Leverage สูง จะส่งผลในทั้ง 2 ด้าน

ถ้ารายได้เติบโตดี กำไรก็จะเติบโตเร็วกว่ารายได้ แต่ในทางกลับกัน ถ้ารายได้ของบริษัทลดลง กำไรก็จะลดลงเร็วกว่ารายได้เช่นเดียวกัน

ทีนี้มาดูเหตุการณ์จริง ผ่านงบการเงินไตรมาสล่าสุด คือไตรมาส 3 ปี 2568 ของบริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เจ้าของร้าน MK สุกี้

แม้กลยุทธ์ที่บริษัทใช้ คือการจัดทำโปรโมชันบุฟเฟต์ในราคาหัวละ 299 บาท เพื่อกระตุ้นยอดขาย

จะทำให้รายได้จากการขายและการบริการของบริษัท เติบโตขึ้นมา 5.5% จนเท่ากับ 3,884 ล้านบาท

แต่การทำโปรโมชันนี้ ก็ต้องแลกมากับ การที่ต้นทุนขาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นต้นทุนวัตถุดิบ จัดเป็นต้นทุนผันแปร ที่จะเพิ่มขึ้นตามรายได้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 18%

จนส่งผลให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นลดลง และกำไรขั้นต้นของบริษัทก็น้อยกว่าปีที่แล้วด้วย โดยกำไรขั้นต้นที่ 2,482 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนเพียง -0.5%

เมื่อนำมาหักลบกับพวกค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่ ที่เพิ่มขึ้นเพียงแค่ 3.6% เท่านั้น

ทำให้ธรรมชาติธุรกิจของบริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป มี Operating Leverage ที่สูง

การที่ทั้งกำไรขั้นต้นลดลง ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นนิดเดียว

จึงส่งผลให้บรรทัดสุดท้าย คือกำไรสุทธิที่บริษัททำได้ในไตรมาสนี้ ลดลงอย่างรุนแรง ถึง -33.7% เหลือ 226 ล้านบาท

และถ้าหากเราไปดูในผลประกอบการ 9 เดือน ปี 2568 ก็จะเห็นว่า รายได้ลดลงเพียงแค่ -4.4% แต่กำไรก็ลดลงไปถึง -32.4% ทั้งที่ค่าใช้จ่ายรวมก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น แถมลดลงเสียด้วยซ้ำ

อ่านมาถึงตรงนี้ ก็เชื่อว่า เราน่าจะเข้าใจกันดีขึ้นแล้วว่า Operating Leverage คืออะไร และเรื่องนี้เชื่อมโยงกับผลประกอบการล่าสุด ของบริษัทเจ้าของร้าน MK สุกี้ อย่างไรบ้าง

ในโลกของการลงทุน คำศัพท์คำนี้ เป็นคำที่ยอดฮิตเป็นอย่างมาก เพราะนักลงทุนสายหุ้นเติบโต มักจะมองหาโอกาสการลงทุน ในบริษัทที่มีธรรมชาติแบบ Operating Leverage สูง

ถึงต่อให้ซื้อบริษัท ที่ P/E ในปัจจุบัน อาจจะดูแพง แต่หากบริษัทนั้นมี Operating Leverage ดี รายได้เติบโต และกำไรสามารถเติบโตแบบก้าวกระโดด

P/E ที่เราเห็นว่าสูงในวันนี้ จริง ๆ แล้ว อาจจะไม่ได้แพงเลย ถ้าผลประกอบการของบริษัท เติบโตได้จริง

แน่นอนว่าถ้าเราคิดถูก เราก็มีโอกาสในการสร้างกำไรได้มหาศาล

แต่ในทางกลับกัน เราก็ต้องมองเรื่องความเสี่ยงด้วยว่า หากบริษัทเกิดเติบโตไม่ได้ ตามที่เราคิด รายได้ปรับตัวลดลง กำไรจะลดลงหนักยิ่งกว่าเดิมมาก

ทำให้ P/E ที่ดูแพงในตอนนี้ อนาคตก็จะแพงขึ้นยิ่งกว่า จากกำไรที่ลดลงหนัก

ตรงนี้ก็เป็นอีกเรื่อง ที่นักลงทุนในตลาดควรระมัดระวังให้ดี เพราะโดยธรรมชาติแล้ว เหรียญมี 2 ด้าน

และโอกาสที่เราเห็นเป็นกำไร ในหลาย ๆ ครั้ง ก็กำลังซ่อนความเสี่ยงที่เราจะขาดทุน อยู่ไม่ต่างกัน..

 

 

ที่มา..  MONEY LAB


theMENU