เริ่มเปลี่ยนเกียร์ !!!

เริ่มเปลี่ยนเกียร์ !!!

เมื่อวานนี้ แบงก์ชาติออสเตรเลีย ประกาศเพิ่มดอกเบี้ยนโยบาย +0.25%

ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ +0.5%

และต่างจากที่เคยขึ้นมาแล้ว +0.5% ใน 4 ครั้งที่ผ่านมา

กลายเป็นประเทศหลักชาติแรกๆ ที่เริ่มชะลอการเหยียบเบรคเศรษฐกิจ

ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นของออสเตรเลีย +5.2% ในวันเดียว !!!

เป็นหนังตัวอย่าง สำหรับนักลงทุนในประเทศอื่นๆ

ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตตามมาเช่นกัน

เพราะท้ายสุดแล้ว

การเร่งขึ้นดอกเบี้ย เร่งให้ยา

ก็จะต้องมีจุดหนึ่งที่คุณหมอคิดว่า

สิ่งที่ให้ไป เริ่มพอ เริ่มทันต่ออาการแล้ว

แม้ช่วงแรกๆ จะมือเบา Behind the curve ไปบ้าง

แต่ที่เร่งๆ ในช่วงที่ผ่านมา

ทำให้น่าจะถึงจุดที่จะลดโดสยาลง

เพราะคุณหมอคงแอบคิด "ถึงจุดนี้ ถ้าไม่ลดยา คนไข้คงช๊อคคาเตียง

ส่วนตลาดที่มองหาข่าวดีว่า

"ที่แย่สุดได้ผ่านไปแล้ว" หรือ The worst is already behind us.

ก็กลับมาดีใจได้ หายใจหายคอได้ดีขึ้น

เพราะคนที่กดดันเศรษฐกิจเยอะที่สุดช่วงนี้ ก็คือ แบงก์ชาติ

โดยกรณีออสเตรเลีย ท่านผู้ว่าการของแบงก์ชาติบอกว่า

แม้จะลดลงมาที่ +0.25%

แบงก์ชาติออสเตรเลีย ก็ยังมุ่งที่จะจัดการเงินเฟ้อ

เอาลงมาที่ 2-3% ให้ได้

ทำให้ ดอกเบี้ยนโยบายออสเตรเลีย จะยังขึ้นต่อในอนาคต

ทั้งนี้ แบงก์ชาติออสเตรเลียจะชั่งน้ำหนักระหว่าง ภาพเศรษฐกิจโลกที่ดูแย่ลง ความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของผู้บริโภคออสเตรเลียที่ลดลง กับตลาดแรงงานที่ยังไปได้ดีในออสเตรเลีย และการออมที่ยังดีอยู่ในออสเตรเลีย

ส่วนสหรัฐ ถ้าไม่มีอะไรพลิกผัน ในการประชุมช่วงท้ายของปี ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยจาก +0.75% มาที่ +0.5% เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม

ช่วงวิกฤตจะมีข่าวดี ข่าวร้ายสลับกันไป

ประเภท 3 วันดี 4 วันไข้

เพราะแม้จะเหลือขึ้น +0.25% ต่อครั้ง แต่ก็ยังขึ้นได้อีกหลายครั้ง

โดยในอดีต เฟดก็เคยขึ้นดอกเบี้ย +0.25% ต่อกันเกือบ 2 ปี รวม 4.25% ระหว่างปี 2004-2006 !!!

ไม่เร่ง แต่ค่อยๆ ขึ้น จนคิดว่า "พอ"

ทั้งหมดจะขึ้นกับว่า เงินเฟ้อดื้อแค่ไหน

นอกจากนี้ Global recessions ก็จะส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัท

ทำให้นักวิเคราะห์ต้องปรับประมาณการราคาหุ้นที่เหมาะสมลงไประยะหนึ่ง

และอาจจะมีวิกฤตที่อาจจะปะทุมากกว่าคิดในบางจุด

หมายความว่า "จุดเปลี่ยน" ที่ทุกคนรอ

คงจะต้องอีกระยะ

แต่อย่างน้อย การที่บางธนาคารกลางเริ่มเบามือ

เริ่มชะลอการขึ้นดอกเบี้ย

นับเป็นข่าวดี ท่ามกลาง Perfect Storm ครับ

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก..FB.ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล