โบรกเกอร์ เห็นพ้อง หลังเทศกาลสงกรานต์ ตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง โดยมีแรงเก็งกำไรจากการทยอยแจ้งผลประกอบการไตรมาส 1/60 กลุ่มธนาคารเป็นหุ้นกลุ่มแรกที่ทยอยประกาศงบ ตามด้วยกลุ่ม Real Sector วัสดุก่อสร้าง พลังงาน ที่จะผลักดันดัชนีหุ้นไทยคึกคักได้ แต่ยังต้องจับตาปัจจัยภายนอก ในประเด็นความขัดแย้งในต่างประเทศ ระหว่างสหรัฐ-รัสเซีย ซีเรีย-เกาหลีเหนือ หากยังไม่คลี่คลาย อาจส่งผลต่อเม็ดเงิน fund flow ชะลอการไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้น และนักลงทุนหันไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น
*** หุ้นหลังสงกรานต์ยังสดใส
บทวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ระบุ จากสถิติ 6 ปีที่ผ่านมา SET Index มักจะมีการปรับเพิ่มขึ้นหลังจากผ่านช่วงเทศกาลสงกรานต์ (13-15 เม.ย.) ไปแล้ว 1 ถึง 2 สัปดาห์ ด้วยความน่าจะเป็น 83% โดย SET Index จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 1.8% (ตรงกันข้ามกับช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ SET มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นเพียง 33% และจะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างแย่ในช่วง 1 - 12 เม.ย. เฉลี่ย -0.5%)
กลุ่มอุตสาหกรรมที่โอกาสปรับเพิ่มขึ้นตาม SET ในช่วง 2 สัปดาห์หลังสงกรานต์จะไล่ตั้งแต่ วัสุดก่อสร้าง (ขึ้นทุกปี) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.77% ส่วนกลุ่มที่ปรับขึ้น 5 จาก 6 ปีคือ สื่อสาร ปิโตรเคมี การเงิน โรงพยาบาล ขนส่ง และเกษตร โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.46% 3.38% 3.00% 2.76% 2.67% และ 1.22% ตามลำดับ
หลักทรัพย์ทีมีความน่าจะเป็นที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวกและยังมี Upside สูงเกิน 10% จะมีตัวที่น่าสนใจคือ GLOBAL IVL CPN PTTEP BBL KCE BJC AP SPALI CPALL CK LH CENTEL DEMCO BCH HMPRO KTB
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า จากสถิติย้อนหลังไป 4-5 ปีจะพบว่าหุ้นจะขึ้นหลังเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะกลุ่มเช่าซื้อ และกลุ่มพลังงาน ที่ใกล้จะประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2560 ที่คาดว่าจะออกมาดีกว่าปีก่อน อย่างไรก็ตามต้องดูแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติประกอบด้วย เนื่องจากช่วงที่ผ่านมามีการซื้อสะสมมาค่อนข้างมากแล้ว อาจมีแรงเทขายทำกำไรออกมา
บล.บัวหลวง มองแนวโน้ม ตลาดหุ้นไทยหลังสงกรานต์ คาด Hold up ขึ้นต่อ กลยุทธ์ยังคงแนะนา เลือกซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานที่อยู่ในประเด็นการลงทุนหลัก เช่น วัสดุก่อสร้าง TASCO MILL SCCC พลังงาน PTTEP BANPU, ธนาคาร BBL KBANK SCB, สินเชื่อรายย่อย MTLS และหุ้นมี Scope of upside คือมีปัจจัยเชิงบวกรออยู่ทำให้มี โอกาสปรับกำไรขึ้นได้ ส่วนการเก็งกำไรหุ้น Local play แนะนำหุ้นที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว
หุ้นแนะนำ BBL แนวต้านสั้น 190/192 แนวรับ 186.5 Stop loss 180 บาท โดย NVDR ให้ลงทุน ในหุ้น BBL ได้มีผลตั้งแต่วันที่ 11 เมย.เป็นต้นไป จากข่าวนี้ NVDR จะเก็บ BBL เพิ่มได้อีกราว 2% ของทุนจดทะเบียน จากการปลดล็อกของ NVDR ครั้งนี้น่าจะเป็นสัญญาณบวกต่อเรื่องการขยาย Foreign Limit มีโอกาสจะปลดล็อกในปีนี้หรือเร็วๆ นี้ซึ่งตอนนี้เหลือแค่ให้เบงก์ชาติประกาศ
***ทยอยสะสมหุ้นเก็งงบไตรมาส 1/60
บล.กสิกรไทย ประเมินว่า ตลาดกำลังจะเข้าสู่โหมดการเก็งกำไรผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในงวด 1Q60 โดยในช่วงปลายงวดเริ่มเห็นมูลค่าการซื้อขายของตลาดที่เพิ่มสูงมากขึ้น และนักลงทุนต่างประเทศเข้าซื้อสุทธิ 9 วันติดต่อกันเกือบ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่แรงซื้อส่วนใหญ่เข้ามาเก็บกลุ่มหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการงวด 1Q60 จะออกมาดี อย่างกลุ่ม Big Cap พลังงาน ปิโตรเคมี และธนาคารฯ
ช่วง 4-8 เม.ย.60 จะเป็นช่วงการทำ Earning Preview ของกลุ่มธนาคารฯ และมารายงานของจริงกันอีกทีหลัง15 เม.ย.59 ถัดจากกลุ่มธนาคารฯก็จะเป็นภาค Real Sector วัสดุก่อสร้าง พลังงาน และกลุ่มอื่นๆ ที่จะทยอยประกาศกันไปจนถึงกลางเดือน พ.ค.60 จากการคาดการณ์ในเบื้องต้น ฝ่ายวิจัยจำแนกกลุ่มหุ้นเก็งผลประกอบการออกเป็นดังนี้
กลุ่มที่คาดว่าจะมีผลประกอบการดีขึ้นทั้ง qoq และ yoy จะประกอบไปด้วย ธนาคารฯ TISCO BBL KTB BAY พลังงาน PTT PTTEP BANPU BCP พลังงานทดแทน TPCH GUNKUL EA สาธารณูปโภค EGCO BPP ปิโตรเคมี PTTGC วัสดุก่อสร้าง TASCO ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล TNR ขนส่ง JWD BEM BTS AAV AOT ค้าปลีก COL ชิ้นส่วนอิเล็กฯ KCE DELTA โรงพยาบาล RJH อสังหาฯ LH ค้าปลีก GLOBAL CPALL รับเหมาฯ CK การเงิน SAWAD MTLS
กลุ่มที่คาดว่าจะมีผลประกอบการดีขึ้น qoq แต่แย่ลง yoy จะมี วัสดุก่อสร้าง SCCC DCC สื่อสาร INTUCH THCOM AVANC DTAC TRUE โรงพยาบาล BCH CHG BDMS BH โรงแรม CENTEL ERW MINT กองทุนอสังหาฯ IMPACT ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ HANA SVI ค้าปลีก KAMART อสังหาฯ SC นิคมฯ TICON อาหาร CPF TU ขนส่ง BA THAI พลังงานทดแทน GPSC BCPG สาธารณูปโภค CKP GLOW รับเหมาฯ TTCL
กลุ่มที่คาดว่าจะมีผลประกอบการแย่ทั้ง qoq และ yoy ได้แก่ พลังงาน SCN PTG โรงกลั่น IRPC วัสดุก่อสร้าง SCC ปิโตรเคมี IVL อสังหาฯ LPN QH SPALI อาหาร CBG ค้าปลีก BIGC รับเหมาฯ STPI TRC STEC
กลุ่มที่คาดว่าจะมีผลประกอบแย่ qoq แต่จะดีขึ้น yoy จะมี ธนาคารฯ TCAP SCB KKP โรงกลั่น TOP SPRC สื่อสาร JAS ค้าปลีก BEAUTY MEGA BJC ROBINS MAKRO CPN COM7 BIG อสังหาฯ AP PSH SIRI ORI นิคมฯ AMATA อาหาร TKN พลังงานทดแทน SPCG DEMCO สาธารณูปโภค RATCH รับเหมาฯ ITD
เลือกหุ้นที่น่าสะสมเพื่อเก็งกำไรผลประกอบการคือ TISCO KTB PTTEP SPRC GUNKUL JWD KCE DELTA RJH MEGA GLOBAL TKN SAWAD CK
***แบงก์ทยอยประกาศงบกลุ่มแรก
บล.ซีไอเอ็มบี ประเมิน ช่วงปลายสัปดาห์หลังสงกรานต์ งบหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์น่าจะทยอยประกาศหมด ดังนั้นในช่วงก่อนและหลังสงกรานต์ มูลค่าการซื้อขายหุ้นในกลุ่มนี้น่าจะคึกคักขึ้นมาในลักษณะ การเล่นสั้น จนกว่าจะเห็นงบ Q1/17 หุ้นในกลุ่มนี้ที่น่าสนใจ คือ หุ้นที่ยังขึ้นน้อยอย่าง SCB หรือที่ยังไม่ขึ้นอย่าง BAY ส่วนพลังงานยังคงเล่นตามทิศทางราคาน้ำมันแต่ที่น่าสนใจ คือ BANPU
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) มองว่าใน 1Q2017 กลุ่มธนาคารมีการเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังไม่ชัดเจน แต่อย่างไรตามในระยะยาวในปี 2017 เรามองว่าสินเชื่อมีโอกาสเติบโตค่อนข้างสูงจากการขยายตัวของ GDP ดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะภาคการส่งออก ตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทั้งการบริโภค การลงทุนของภาคเอกชน และการลงทุนของภาครัฐ คาดโดยเฉลี่ยสินเชื่อเติบโต 4-6% รวมทั้งการควบคุมคุณภาพสินเชื่อ และการบริหารต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ
โดยรวมเราคาดว่ากำไรสุทธิ 1Q17 สำหรับ 7 ธนาคารที่เราประมาณการ (BBL, KTB, KBANK, KKP, TISCO, SCB และ TCAP) อยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้น 3.2%QoQ หรือ 11.8%YoY อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานของ KTB เรายังไม่รวมการรับชำระหนี้คืนของ AQ
จาก ธ.พ. 1.1 เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้นพบว่าสินเชื่อของธนาคาร 7 แห่งหดตัวเล็กน้อยจากเดือนธันวาคมที่ผ่านมาที่ 0.23% YTD โดยเป็นขยายสินเชื่อบริษัทเพื่อใช้ในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้น ในขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อค่อนข้างคงที่ถึงหดตัว เราให้น้ำหนัก KBANK SCB และ BBL สำหรับธนาคารขนาดใหญ่ที่สามารถเติบโตจากการเติบโตการการลงทุนของบริษัทขนาดใหญ่ โดยคาด 1Q17 โต 5.00% 4.65% และ 1.69%QoQ ตามลำดับ ในขณะที่ธนาคารเช่าซื้อเราให้ความสนใจใน TISCO ที่มีแนวโน้มเติบโตจากการสิ้นสุดนโยบายรถคันแรก และการเข้าซื้อ SCBT ที่ผ่านความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงสิ้นไตรมาส
ส่วน เงินฝากธนาคารขในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เงินรับฝากของธนาคารของธนาคาร 7 แห่งเติบโตที่ 1.18% YTD เราคาดว่า 1Q17 เติบโตเฉลี่ยที่ 2.68%QoQ โดย SCB BBL และ KKP มีการขยายตัวสูงที่ 8.74% 8.07% และ 5.54% QoQ ตามลำดับ
ขณะที่การขยายตัว PromptPay, EDC ต้องอาศัยระยะเวลาในการกระทบรายได้ค่าธรรมเนียม เราคาดว่าธนาคารจะมีรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการของธนาคารแต่ละแห่งจะใกล้เคียงกับ 4Q16 ถึงแม้จะมีแรงกดดันจากการให้บริการ PromptPay, การให้บริการเครื่อง EDC (เครื่องรูดบัตร) และการเข้ามาแข่งขันของ FinTech เรามองว่าจะมีผลกระทบเชิงลบเล็กน้อยในระยะสั้นจากการที่มีคนหันมาใช้บริการ PromptPay ในระยะเริ่มต้น และระยะเวลาในการดำเนินการของ EDC ที่ยังอยู่ในระยะสั้น
คงคาดการณ์กลุ่มธนาคารเป็น Overweight ให้ BBL เป็น Top Pick เราให้น้ำหนัก BBL เป็นหุ้น Top Pick โดย BBL มีราคาเป้าหมายที่ 203.00 บาท จากแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อ การขยายตัวของเงินฝากเพื่อรองรับการปล่อยสินเชื่อ รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากการให้บริการ PromptPay และการขยายตัวของ EDC ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
*** จับตาประเด็นขัดแย้งระหว่างประเทศ
บล.ฟิลลิป คาดนักลงทุนโดยเฉพาะรายย่อยจะกลับมาซื้อขายคึกคักได้อีกครั้งหลังสงกรานต์หากไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงใดๆ เกิดขึ้นจากประเด็นภูมิศาสตร์การเมืองระหว่างสหรัฐ-รัสเซีย ซีเรีย-เกาหลีเหนือ มองกรอบเคลื่อนไหวแคบๆ ระหว่าง 1,575-1,586 จุด กลยุทธ์การลงทุน เก็งกำไรแบบ "ขึ้นขาย ลงซื้อ"
บล.ยูโอบี เคย์เฮียน ระบุ ประเด็นความขัดแย้งในซีเรีย-เกาหลีเหนือที่ยังไม่คลี่คลาย สร้างมุมมองเชิงลบต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่มีความผันผวนสูง โดยเงินลงทุนบางส่วนได้เคลื่อนย้ายเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่ผ่านมา เช่น ทองคำ, ค่าเงินเยน, และพันธบัตร ทำให้เม็ดเงิน (Fund Flow) ไหลเข้าชะลอตัวในช่วงสั้น อย่างไรก็ตามปัจจัยลบดังกล่าว ถูกลบล้างบางส่วนจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงขึ้นและภาพเศรษฐกิจไทยที่เป็นบวก ซึ่งจะส่งผลให้ SET Index ยังคงสามารถรักษาระดับราคาไว้ได้เพื่อรอการปรับขึ้นหลังประเด็นความขัดแย้งต่างๆ เริ่มคลี่คลาย เราคาดหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายของเม็ดเงินไหลเข้า จะกลับมาเคลื่อนไหวได้ดีหลังหยุดยาว โดยมีกลุ่มที่น่าสนใจอาทิ อาหาร เครื่องดื่ม ท่องเที่ยว // หุ้นแนะนำ IRPC, TU, MAJOR, //เก็งกำไร SVI
คำแนะนำทางกลยุทธ์ : คาดน้ำหนักการลงทุนจะกลับเข้าสู่หุ้นขนาดใหญ่หลังช่วงหยุดยาว การอ่อนตัวไม่หลุด 1570 จุด ทิศทางยังเป็นบวก เรามีมุมมองบวกต่อเงินทุนไหลเข้า และลุ้นดัชนีขึ้นทดสอบ 1600-1640 จุด ในช่วง เม.ย.-พ.ค.นี้ การปรับขึ้นเป็นโอกาสลดน้ำหนักหุ้นโรงกลั่น ขณะที่กลุ่มท่องเที่ยวและการแพทย์สามารถเก็งกำไรได้ แต่มอง upside รอบนี้ไม่เกิน 10-15% จาก valuation ที่ตึงตัว
บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ตราบที่มีความขัดแย้ง สหรัฐ-ซีเรีย-เกาหลีเหนือ หนุนราคาน้ำมันขึ้นดิบใกล้ 55 เหรียญฯ หนุนหุ้นปิโตรเลียม (PTTEP,PTT, BANPU, LANNA) และ ความคืบหน้าประมูลรถไฟทางคู่น่าหนุนผู้รับเหมาที่มีความพร้อม และมีเงินสดสุทธิ (STEC, UNIQ) ล้วนช่วยประคอง SET แกว่งตัวแดนบวก ต่อเนื่องหลังสงกรานต์ Top picks STEC([email protected]) และ LANNA([email protected]) หุ้น Laggard ซึ่งมีจุดเด่น net cash position แล้วยังมี EPS Growth สูง 46% และ upside 21%
โดยราคาน้ำมันดิบดูไบขึ้นแตะ 55 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งนับว่าใกล้เคียงกับสมมติฐานของ ASPS และ น่าจะหนุนผลประกอบการของผู้ประกอบการในกลุ่มผลิตและสำรวจน้ำมัน และ ถ่านหิน ทุกราย (PTT, PTTEP, BANPU, LANNA) แม้ระยะสั้น ราคาถ่านหินอาจจะฟื้นตัวช้ากว่าราคาน้ำมัน และ การขยายโรงไฟฟ้าใหม่ มีการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงลดลงก็ตาม แต่ถือเป็นพลังงานทางเลือกที่ยังมีอยู่ จึงเชื่อราคาถ่านหินได้ผ่านจุดต่ำสุด จากนี้น่าจะอยู่ในลักษณะทรงตัว และน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นในงวดครึ่งหลังปี และหากพิจารณาผู้ประกอบการในกลุ่มถ่านหินได้มีการกระจายธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าแล้ว เช่น BANPU (FV@B24) และล่าสุด LANNA ([email protected]) เตรียมเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้า IPP ในอินโดนีเซีย ขนาด 200 เมกะวัตต์ คาดเงินลงทุนรวม 600 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่กลุ่มรับเหมากลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังร่าง TOR แรกมีความคืบหน้า โดย ร.ฟ.ท.ได้เผยแพร่ร่าง TOR ฉบับใหม่ของโครงการรถไฟทางคู่เส้น หัวหิน-ประจวบฯ ระยะ 84 กม. ราคากลาง 7,340.47 ล้านบาท (ลดลงจากเดิม 9,886.345 ล้านบาท) ซึ่งร่างดังกล่าวจะสิ้นสุดรับฟังคำวิจารณ์ในวันที่ 18 เม.ย.60 ก่อนประกาศเชิญชวนผู้รับเหมาซื้อซองประมูลปลายเดือน เม.ย. และจะทราบผลการประมูลราวเดือน มิ.ย. ซึ่งเงื่อนนไขที่ผ่อนปรน เปิดโอกาสให้บริษัทรับเหมาขนาดกลางเข้ามาแข่งขันมากขึ้น ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า บริษัทรับเหมารายใหญอย่าง ITD, STEC ,CK และ UNIQ ยังคงมีความได้เปรียบบริษัทรับเหมารายอื่น
ที่มา : efinancethai