สรุปข้อคิดจากรายการ Hard Topic ของช่อง Money Channel เจาะใจสาย VI ลงทุนอย่างไรในตลาดหุ้นกระทิง
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนหุ้นคุณค่า
- ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผม "กังวล" มากกว่าในเรื่องของตลาดหุ้น
- ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ย 20% ถือว่าสูงมาก เรียกได้ว่าหายากมาก ไม่ใช่แค่ประเทศไทยอย่างเดียว ของอเมริกาก็เป็นแบบนั้น เป็นตลาดกระทิงรอบใหญ่
- เราก็เลยรู้สึกว่าเป็นเรื่องกังวลมากกว่า เพราะมันไม่ค่อยได้เห็นมากนักถ้ามองย้อนหลังจากประวัติศาสตร์
- ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเรื่องของ ดอกเบี้ยทั่วทั้งโลกตกต่ำมาอย่างยาวนาน แถมยังมีการพิมพ์เงินอัดฉีดมากอย่างมหาศาล เรื่องเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ตลาดหุ้นทั่วโลกก็เลยปรับขึ้นมาสูงมากเพราะคนพยายามหาแหล่งสร้างผลตอบแทนให้ได้มากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นในเรื่อง"หุ้น"
- ส่วนตัวผมไม่ค่อยเห็นหุ้นที่บวกกันติดๆกันหลายปี หรือลบติดๆกันหลายปี ยกเว้นจะมีวิกฤตหรือะเหตุการณ์บางอย่าง ตลาดหุ้นไทยนี้บวกมาแล้วหลายปีติดๆกัน
- ประเด็นหลักที่ทำให้หุ้นขึ้นจริงๆ คือ เงินไม่มีที่ไป ประเด็นรอง คือ นักลงทุนมองดีเกินไป โครงการภาครัฐจะเกิด มีโครงการมากมาย บริษัทเอกชนลงทุนเยอะมาก แต่ยังไม่ทันจะได้ลงมือทำ หรือมีกำไรเห็นน้ำเห็นเนื้อ เราก็เล่นกันไปก่อนแล้ว
- โครงสร้างสังคมไทย เป็นสังคมผู้สูงอายุ คนเหล่านี้มีเงินเยอะ ก็เลยเอาไปลงกองทุนรวมเป็นส่วนใหญ่ ช่วงหลายปีมานี้กองทุนไทยเราใหญ่มาก
- เท่าที่ผมเห็น คือ ต่างชาติเขาขายนะ ไม่ได้ซื้อ แต่กองทุนไทยเราซื้อเป็นส่วนใหญ่อาจจะเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งว่า หุ้นไทยเราแพงเกินไปไหม
- ตลาดหุ้นบ้านเราถ้าเทียบกับเพื่อนบ้านก็กลางๆนะ ไม่ได้แพงกว่ากันมาก แต่จุดที่แตกต่าง คือ ประเทศไทยเราเติบโตช้า ประเทศอื่นเขาโตเร็วกว่ามาก ดังนั้นเราต้องแยกให้ออกว่า บ้านเรา P/E สูงไหม บอกเลยว่าไม่สูง พอๆกับเพื่อนบ้าน แต่ประเทศเราโตช้ากว่า
- ถามว่าตลาดหุ้นไทยเราจะลงแรงๆไหม ผมว่ายากนะเพราะคนสมัยนี้คนมีเงินกันเยอะ ลงแรงมากๆก็มีคนรอช้อนซื้อ
- มองหุ้นของบ้านเรา ผมว่าพอซื้อได้ ดีกว่าการฝากเงิน แต่ถามว่าราคาถูกไหม ไม่ถูกแล้ว
- คนเข้าใจผิดคิดว่าผมเข้ามาตอนดัชนีต่ำๆ ผมเข้ามาตอนปี 40 ดัชนีราวๆ 800 จุด มันก็ตกลงมาเรื่อยๆถือ 2 ปี ดัชนีเหลือ 200 จุด วอลุ่มน้อยมาก ไม่มีคนสนใจหุ้นเลย บางวันหุ้นแทบจะไม่มีคนซื้อขาย ถึงแม้หุ้นจะเหลือ 200 จุด เราก็ไม่ได้ขาดทุนเยอะเพราะสภาพคล่องน้อย แต่ที่ได้จริงๆคือปันผล
สิ่งที่ ดร. เข้าใจ VS สิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ
(ที่มาภาพ : Bisnews Professional)
- มาถึงวันนี้หุ้นขึ้นมาเท่าตัวกว่า จาก 800 มา 1800 แต่หุ้นที่เราถือมันขึ้นมาเยอะมากเกินกว่าเท่าตัว แต่เราก็ไม่ได้สนใจ เพราะเราสนใจในเรื่องปันผลมากกว่า พอหุ้นที่ผมถือประสบความสำเร็จก็เลยเกิดเป็นกระแส VI ขึ้นมาที่เราเรียกกันว่า หุ้น VI นั้นละ
- ถามว่าตอนนี้เราทำอะไรอยู่ ? ... เราอยู่ "ฝั่งซื้อมากกว่า" แต่ไม่ได้มองว่าหุ้นถูกนะ ผมเพียงแค่มองว่าหุ้นที่ผมถือราคายังไม่แพงมาก มีปันผลพอประมาณ แล้วก็ไม่ได้หุ้นที่ขึ้นมาเยอะแล้วอย่าง PTT ที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ จริงๆผมลงทุนมาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ได้อิงตามตลาดอยู่แล้ว ตลาดหุ้นจะทำ New High ผมเองก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก
- ยุครุ่งเรืองของหุ้นไทย ผมมองว่ามันผ่านไปแล้ว เพราะโครงสร้างประชากรของเราไม่เอื้อ เราเป็นสังคมผู้สูงอายุ เศรษฐกิจก็โตช้า
- ตลาดกระทิงดุอย่างเช่นตอนนี้ ต้องระมัดระวังให้มาก
ลุงโฉลก สัมพันธารักษ์ นักลงทุนหุ้นเทคนิค
- ลุงเป็นคนความรู้น้อย แต่อาศัยประสบการณ์ตลอด 40 ปี ในการโลดแล่นในตลาดหุ้น
- ลุงรู้สึกว่าการศึกษาพื้นฐานมันใช้เวลานาน เราไม่สามารถแน่ใจได้ว่าสิ่งที่เรารู้มันจริงหรือไม่จริง ดังนั้นลุงจึงเชื่อในเรื่องของ Price Pattern มากกว่า ราคาสะท้อนทุกสิ่ง ทุกคนเห็นเหมือนกัน ข้อมูลรับรู้เท่ากัน ส่วนเรื่องพื้นฐานจะเป็นอย่างไร "ช่างมัน"
- ลุงเชื่อในเรื่องของ"สถิติ" ในเรื่องของ"รูปแบบ" ทุกสิ่งทุกอย่างมันมี Pattern ของมัน ราคาหุ้นก็เช่นกัน ตลาดแทบจะมี Pattern ตายตัว ในอดีตมีลักษณะเป็นอย่างไร อนาคตมันก็จะเป็นแบบนั้น
- การตกอย่างหนักของตลาดหุ้นเป็นเรื่องธรรมชาติ
- "แมงเม่า" จะซื้อตอนจุดสูงสุด และขายตอนจุดต่ำสุด ในชมรมเราเรียกกันว่า "สัญญาณแมงเม่า"
- แมงเม่า คือกลุ่มคนโลภที่เข้ามาหวังรวยอย่างเดียว มีความโลภแต่ไม่มีความรู้
- ตอนนี้เราอยู่ในเวฟ 3 เรียกว่า Super grand cycle เป็นเวฟที่ยาวที่สุด เพิ่งจะเริ่มเวฟ 3 ยังไปอีกไกลมาก
การเคลื่อนที่ของคลื่น ตอนนี้เรากำลังอยู่ในขั้นต้นของ Wave 3
(ที่มาภาพ : www.swing-trade-stocks.com)
- เป้าหมายแรกๆอยู่ที่ 3000 จุด ถ้าดูจากการนับเวฟ แต่เราต้องเข้าใจว่าในเวฟใหญ่ๆ จะมีเวฟเล็กๆประกอบ จะมีการพักฐาน การปรับฐาน การขายทำกำไรของนักลงทุน
- สิ่งที่ต้องจับตามอง คือ ราคาหุ้นขึ้นสูง ในขณะที่โมเม้นตั้มไม่ได้ตามราคาหุ้นที่ขึ้น นั้นจะเป็นจังหวะของการปรับฐาน หรือใกล้จบรอบ โมเม้นตั้มจะชนะเสมอ
- เรื่องของเทคนิเคิล มันไม่ใช่เรื่องของระยะสั้น ระยะยาว ลงทุนถือสั้นถือยาว นั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด ถ้าคนที่เข้าใจเทคนิคจริงๆ คือ เราไม่รู้ว่าเราซื้อแล้วจะขายเมื่อไร จะนานไหม นานแค่ไหน เราไม่รู้ เรารู้แค่ว่าถ้ามีสัญญาณขาย คือเราต้องขาย เราปล่อยระบบการเทรดของเราให้มันรันไปเรื่อยๆ
- คำแนะนำของชมรมโฉลกที่ให้มาโดยตลอด คือ ถ้าไม่รู้เรื่อง อย่าเข้ามาในตลาดหุ้น
- วิชาชีพเพื่อการหาเงินไม่มีคำว่า "ง่าย" ถ้าคุณคิดว่าตลาดหุ้นมันง่าย นั้นแสดงว่าคุณพลาดแล้ว รับรองได้ว่า 95% เสียเงินแน่นอน
- ถ้าจะเข้ามาต้องเรียน คุณจะเป็นหมอ เป็นวิศวะ ต้องเรียนก่อน การเทรดหุ้นก็เหมือนกัน ต้องเรียนก่อน เรียนรู้ หาประสบการณ์ก่อน
- คนที่ไม่รู้เรื่อง ก็ต้องพึ่งคนอื่นตลอด ซื้อตัวไหน เข้าตัวไหน ขายเมื่อไร ถือได้ไหมตัวนี้ เห็นไหมพึ่งคนอื่นตลอด เราไม่รู้การทำเงินอย่างแท้จริง
- ในวิชาเทคนิคอล เราอย่าไปคาดหวังว่าเราจะขายจุดสูงสุด หรือซื้อที่จุดต่ำสุด เราจะขายก็ต่อเมื่อสัญญาณคอนเฟิร์มว่าเป็นสัญญาณขาย นั้นหมายถึง มันผ่านมาแล้ว เราจะไม่ได้ขายจุดสูงสุด
- การซื้อหุ้น ไม่ใช่การซื้อถูกไปขายแพง แต่หลักคิดสำคัญคือซื้อตรงไหนก็ได้เพื่อไปขายแพงกว่า เราจะไม่มีการช้อนซื้อ
- คำถามที่ว่า "ซื้อตัวไหนดี เล่นตัวไหนดี" เป็นคำถามที่ไม่ควรถาม เราอยู่ในตลาดหุ้นเราต้องเล่นทุกตัวที่มีสัญญาณซื้อ
- ผลตอบแทนที่ได้ บอกเลยว่า "ไม่มาก" เราได้แบบพอเพียง คนอื่นเข้าใจว่าเรากำไรเยอะ ทำเงินได้เยอะตรงนี้ผิด ถ้าเราเน้นแต่เรื่องกำไรอย่างเดียวนี้เป็นเรื่องของมือสมัครเล่น คนที่เป็นมืออาชีพจริงๆเขาจะเน้นในเรื่อง Money Management การบริหารความเสี่ยง