เจาะลึกพื้นฐาน 3 หุ้นนิคมฯ ของไทย
ครึ่งปีหลังใคร? จะเติบโตโดดเด่น
.
หุ้นนิคมอุตสาหกรรมเป็นกลุ่มที่ได้รับปัจจัยบวกต่อเนื่อง ทั้งจากตั้งฐานการผลิตของกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการจากประเทศจีนมาไทย นอกจากนี้ในช่วงครึ่งปีหลังยังเป็นไฮซีซั่นของกลุ่มธุรกิจ
.
ขณะเดียวกันหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมยังมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมหลังจากที่คณะรัฐมนตรีเคาะกำหนดโซนนิ่งสถานบริการ 24 ชม.ในเมืองการบินภาคตะวันออก มองส่วนเสริมดึงดูดนักท่องเที่ยว นักลงทุนต่างชาติครบวงจรมากขึ้น มองบวกต่อ AMATA, WHA, AOT, CPALL
.
จากกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่าง พ.ร.ฎ.กำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดระยอง (ฉบับที่...) พ.ศ. ... ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ (Zoning) ภายในเขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออก สนามบินอู่ตะเภา จ.ระยอง โดยจะมีพื้นที่รวมประมาณ 2,662 ไร่ ซึ่งจะสามารถจัดตั้งกิจกรรมสันทนาการที่เข้าข่ายสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ และพื้นที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับการจำหน่ายและช่วงเวลาการจำหน่าย
.
โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) มองว่ามาตรการดังกล่าวเป็นส่วนเสริมช่วยให้การดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนในไทยมีความครบวงจรมากขึ้น ขณะที่สอดรับกับแนวคิดของรัฐบาลใหม่ที่รับความเห็นผู้ประกอบการท่องเที่ยวใน จ.ภูเก็ต
.
โดยเชื่อว่าแนวคิดดังกล่าวจะเห็นการปรับใช้ในพื้นที่อื่นๆ ต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะในจุดที่สามารถเป็นส่วนเสริมการลงทุน/ท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติ
.
ดังนั้นจึงมีมุมมองบวกต่อ WHA, AMATA ในด้านแรงดึงดูดการลงทุนต่างชาติดีขึ้น หนุนภาพบวกต่อจาก FDI ที่เร่งในปัจจุบัน รวมถึง AOT, CPALL ที่จะได้ประโยชน์การท่องเที่ยว
.
สำหรับหุ้นที่จะได้ประโยชน์ดังกล่าว WHA, AMATA, AOT, CPALL ยังแกว่งขึ้นต่อเนื่อง จากปัจจัยหนุนเข้ามาเพิ่มเติม และน่าจะมีแรงบวกจากการแถลงนโยบายรัฐบาลใหม่ ต้น ก.ย. โดยทางเทคนิค กำหนดแนวรับ แนวต้าน ดังนี้ AMATA ราคาเป้าหมาย 30 บาท WHA ราคาเป้าหมาย 6 บาท CPALL ราคาเป้าหมาย 76 บาท AOT ราคาเป้าหมาย 85.25 บาท
.
ดังนั้น Wealthy Thai จึงมีแนวโน้มการดำเนินงานของหุ้นกลุ่มนิคมฯ ยอดนิยมทั้ง 3 ตัวอย่าง WHA, AMATA, ROJNA มาฝาก มาดูกันว่าผลประกอบการจะได้เติบโตดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาหรือไม่
.
สำหรับ WHA นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินว่า ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังปี 2566 จะเติบโตชัดเจนจากช่วงครึ่งปีแรก จากปัจจัยหนุน 1. ฤดูกาลการโอนที่ดินที่จะเร่งตัวขึ้นช่วงปลายไตรมาส 3/66 จากยอด Backlog ณ สิ้นไตรมาส 2/66 ที่ 799 ไร่, 2. การเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจบริการสาธารณูปโภคจากความต้องการใช้น้ำของลูกค้าในนิคมฯ ที่เพิ่มขึ้น คาดเติบโตประมาณ 5-10% และ 3. การรับรู้รายได้จากขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT ช่วงปลายไตรมาส 4/666 มูลค่าราว 2,900 ล้านบาท (สัดส่วน 23% ของประมาณการรายได้ของฝ่ายวิเคราะห์)
.
โดยฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประมาณการกำไรปี 2566 ไว้ที่ 3,961 ล้านบาท โต 7.6% จากปีก่อน โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญ คือ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และนโยบาย China plus one หรือการเพิ่มฐานการผลิตนอกเหนือจากประเทศจีน อย่างไรก็ตามประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์มี Upside risk หากบริษัทเจรจาและมีการโอนกับลูกค้าสำเร็จภายในปีนี้ โดยคงราคาเป้าหมายที่ 5.05 บาท อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside ค่อนข้างจำกัด เราจึงคงคำแนะนำ เก็งกำไร
.
ส่วน AMATA ฝ่ายวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด คาดการณ์ว่า ยอดขายที่ดินในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตกว่าช่วงครึ่งปีแรก โดยเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจนิคมฯ นอกจากนี้ยังมีลูกค้าจากจีนที่ต้องการย้ายฐานการผลิตเป็นจํานวนมาก โดยบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ารายใหญ่ 2-3 ราย พื้นที่รวมกัน 800 –1,000 ไร่ โดยเป็นลูกค้ากลุ่ม EV และ Electronics ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้รายได้จากการขายที่ดินอยู่ในระดับสูง
.
ทั้งนี้ยังเหลือโรงงาน RBF (Ready-Build Factory) ในเวียดนามอีก 2 แห่ง ที่มีความล่าช้าเรื่องการส่งมอบ แต่คาดว่าจะทําได้ทันภายในปีนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 2,084 ล้านบาท ลดลง 10.98% จากปีก่อน โดยให้คำแนะนำการลงทุนเป็น Outperform ประเมินราคาเหมาะสมที่ 27 บาท
.
ด้าน ROJNA ฝ่ายวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ไตรมาส 3/66 กำไรของธุรกิจโรงไฟฟ้าจะทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า เพราะราคาขายไฟฟ้ายังคงลดลงอีก 6.5% และต้นทุนก๊าซธรรมชาติยังจะลดลงอีก 13.3% ทั้งนี้ บริษัทมี Backlog ในมืออยู่ 1,298 ไร่ ซึ่งจะสร้างกระแสรายได้ให้บริษัทในช่วงครึ่งหลังของปีนี้และปี 2567
.
อย่างไรก็ตาม กำไรจากธุรกิจหลักในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 739 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 259% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งดีกว่าประมาณการปีนี้ของฝ่ายวิเคราะห์ ดังนั้น ฝ่ายวิเคราะห์จะทบทวนประมาณการกำไรปี 2566 ใหม่ นอกจากผลประกอบการจะออกมาดีเกินคาดแล้ว ยอดขายที่ดินยังสูงเกินประมาณการปีนี้ของฝ่ายวิเคราะห์ด้วย โดยบริษัทขายที่ดินได้ 1,022 ไร่ ในช่วงครึ่งปีแรก สูงกว่าที่คาดไว้ที่ 700 ไร่ และน่าจะทำยอดขายที่ดินในปีนี้ได้ถึง 1,500-2,000 ไร่ ซึ่งเป็นระดับที่สูงอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่ปี 2556 ฝ่ายวิเคราะห์จึงจะทบทวนประมาณการด้วยแนวโน้มทางบวก โดยให้คำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 7.40 บาท
