HANA ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปียังทรุดกว่า 42.66%
โบรกฯ แนะนำเพียง “เก็งกำไร”
ลุ้นผลงานครึ่งแรกปี 66 กลับมาโตเด่น

.
บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA เป็นหุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เป็นธุรกิจที่เป็นขวัญของนักลงทุนและได้รับความสนใจอย่างคับคั่งในช่วงที่ผ่านมา ด้วยความต้องการใช้ที่ปรับตัวขึ้นอย่างมากจากวิกฤตความขาดแคลนชิป จนทำให้ราคาขายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด
.
แต่สุดท้ายด้วยความกังวลของภาวะเศรษฐกิจถดถอยและตัวเลขนโยบายอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ก็ทำให้หุ้นกลุ่มดังกล่าวได้รับผลกระทบเช่นกัน ซึ่งสิ่งที่สะท้อนความกังวลได้ชัดเจนที่สุดก็คือราคาหุ้นที่ย้อนไปตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน(ณ วันที่ 20 ธันวาคม 2565) ปรับตัวลดลง 42.66% หรือลงมาอยู่ที่ 50.75 บาท
.
ทำให้การปรับตัวดังกล่าวมีนักลงทุนหลายคนตั้งข้อสงสัยและคำถามขึ้นว่า จะเป็นจุดต่ำสุดของราคาแล้วหรือไม่และในทางกลับกันจะเป็นโอกาสให้ลงทุนได้หรือไม่ ในวันนี้ทาง Wealthy Thai ก็จะขอพาผู้อ่านและนักลงทุนที่สนใจไปหาคำตอบกันในครั้งนี้
.
โดยบทวิเคราะห์จากบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ “TRADING” และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 56.00 บาท ตามการปรับเพิ่มประมาณการปี 2565-66 ขึ้น 25% และ 23% ตามลำดับ หลักๆจากการปรับเพิ่มสมมติฐานยอดขาย USD ในปี 2565 หลังจากที่ช่วง 9 เดือนแรกปี 65 ทำได้แข็งแกร่งกว่าคาด
.
ขณะที่ในปี 2566 คงมุมมองเดิมว่ากลุ่มสินค้าหลักจะชะลอตัวแต่ชดเชยจากยอดขาย SiC ทำให้ภาพรวมยอดขายทรงตัวจากปีก่อนหน้า ขณะที่กำไรที่เติบโตได้ส่วนหนึ่งมาจากคาดผลขาดทุนธุรกิจ SiC จะลดลงจากปีก่อนหน้า
.
สำหรับราคาหุ้นที่ฟื้นตัวเด่นหลังจากตลาดกำลังคาดหวังว่าผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นกับ HANA ไม่รุนแรงมากนัก แต่เนื่องจากเรายังมีมุมมองระมัดระวังต่อความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยที่ยังมีอยู่ ประกอบกับราคาหุ้น HANA ปรับขึ้นจึงได้ปรับลดคำแนะนำลงเป็น “TRADING”
.
หากผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกปี 2566 ของ HANA ยังสามารถเติบโตหรืออย่างน้อยประคองตัวได้ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกอ่อนแอ ตลาดมีโอกาสกลับมาซื้อขาย HANA สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว กรอบราคาเบื้องต้นมีโอกาสไปได้ที่ 60-70 บาทต่อหุ้น แต่ยังเร็วเกินไปที่จะให้น้ำหนักกับกรณีดังกล่าว
.
ด้านบล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ได้ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และให้ราคาเป้าหมายที่ 62 บาท เนื่องจาก HANA มีสินค้าที่ผลิตมีความหลากหลายทำให้ลดผลกระทบหากเศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงการมุ่งผลิตไปกลุ่ม EV มากขึ้นจะชดเชยการหดตัวของกลุ่มอื่นได้
.
อย่างไรก็ดีแม้แนวโน้มไตรมาส 4/65 อาจอ่อนลงตามปัจจัยฤดูกาล แต่หากการดำเนินงานปกติที่ออกมาดีกว่าคาดทำให้ทางฝ่ายมีปรับประมาณการขึ้นจากเดิม ปรับยอดขายเพิ่มเป็น 775 ล้านเหรียญ เติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน 4% และปรับมาร์จิ้นขึ้นจากเดิมจากเงินบาทอ่อนค่า ขณะที่การดำเนินงานปกติปรับเพิ่มเป็น 2,487 ล้านบาท เติบโตขึ้น9% แต่ปรับลดกำไรสุทธิลงเหลือ 1,337 ล้านบาท จากผลกระทบจากขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน