SSI อนาคตที่หมิ่นเหม่ (ของนักลงทุนกับเจ้าหนี้)
แฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
ข้อตกลงปรับโครงสร้างหนี้มูลค่า 6.9 หมื่นล้านบาท ที่ผ่านความเห็นชอบของศาลล้มละลายกลาง เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2559 ของบริษัท สหวิริยาสตีล อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากกลุ่ม 3 เจ้าหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันขนาดใหญ่ 3 รายคือ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ธนาคารกรุงไทย (KTB) และ ธนาคารทิสโก้ (TISCO) เป็นแค่ขั้นตอนที่ทำให้บรรดาเจ้าหนี้ 36 ราย จาก 13 กลุ่ม ที่มีเงื่อนไขและสภาพบังคับต่างกัน คงต้องก้มหน้ารับสภาพ ตามคำสั่งศาล
โดยเฉพาะเจ้าหนี้จำนวน 30 ราย จากทั้ง 12 กลุ่ม(ไม่รวม เจ้าหนี้ 6 รายในกลุ่มที่ 8 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้การค้า ที่ยอดมูลหนี้แค่ 15.497 ล้านบาทเท่านั้น ที่จะได้รับการชำระจากกระแสเงินสดปกติ ภายใต้เงื่อนไขธุรกิจการค้าปกติ) ที่เจอกับโจทย์ใหญ่ภายใต้เงื่อนไขคล้ายกันคือ
1)ได้รับชำระหนี้จากกระแสเงินสดส่วนเกิน รายเดือน จำนวน 144 เดือน โดยมีดอกเบี้ยแตกต่างกัน โดยเจ้าหนี้กลุ่มแรกที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ได้รับดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี ส่วนกลุ่มอื่นๆ ได้รับอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 1.00-2.75% ต่อปี
2)ต้องยินยอมลดหนี้ บวกดอกเบี้ยและดอกเบี้ยระหว่างตั้งพัก ลง
3)บางกลุ่มต้องยอมรับการแปลงหนี้เป็นทุนเป็นครั้งคราวตามเงื่อนไข (ดูตารางประกอบ)
เงื่อนไขในข้อสุดท้ายที่เจ้าหนี้กลุ่มต่างๆ (ไม่นับกลุ่มแรกกที่ได้เปรียบเต็มที่ เพราะมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน) จำต้องยอมรับอย่างกล้ำกลืนว่า SSI (ในฐานะผู้บริหารแผนจากการทำ “เจ๊ง”มากับมือเอง) ที่กำหนดเงื่อนเวลาในการลดทุน และเพิ่มทุน 5 ขั้นตอน ที่สุดสยอง สำหรับผู้ถือหุ้นเดิม และบรรดาเจ้าหนี้ แต่คนในตระกูลวิริยประไพกิจ รับผลดีเต็มที่
เงื่อนเวลาดังกล่าว กำหนดว่า ใน 3 ขั้นตอนแรกจะทำภายใน 90 วันนับแต่ศาลมีคำสั่ง ประกอบด้วย
1)การลดทุนจดทะเบียนเดิมที่ผ่านมติผู้ถือหุ้นมาแล้ว แต่ยังไม่ได้จัดสรร 18,097.401 ล้านหุ้น
2)ลดทุนจดทะเบียนเดิมที่เคยมีอยู่จากเดิม 29 หุ้น ให้เหลือแค่ 1 หุ้น ทำให้หุ้นเดิมที่เคยมีอยู่ 32,116.262 ล้านบาท เหลือเพียง 1,109 ล้านบาท(หุ้นราคาพาร์ 1.00 บาท)
3)เพิ่มทุนใหม่อีก 10,000 ล้านบาท (พาร์ละ 1.00 บาท) รองรับการแปลงหนี้เป็นทุนให้กับเจ้าหนี้กลุ่ม 2(เจ้าหนี้สถาบันการเงินที่หลักทรัพย์ต่ำกว่ามูลหนี้) และ/หรือ กลุ่ม 3(เจ้าหนี้สถาบันการเงินร่วมอื่นๆตามแผนปรับโครงส้รางหนี้ 2556) และ/หรือ กลุ่ม 4(เจ้าหนี้ภาระค้ำประกันการชำระหนี้เงินกู้) ในราคาแปลงหนี้เป็นทุน 0.05 บาท ต่อ 1 หุ้น
ที่น่าสนใจคือ ในเงื่อนเวลาข้อ 4 ที่กำหนดไว้ว่าจะมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนเพื่อทำการแปลงหนี้เป็นทุนครั้งที่ 2 นั้น ไม่ได้มีการกำหนดเวลาเอาไว้ชัดเจน เพียงแต่มีข้อกำหนดอย่างซับซ้อนในการเพิ่มทุน และการแปลงหนี้เป็นทุน
เงื่อนไขข้อนี้ระบุว่า การเพิ่มทุนครั้งที่ 2 จะเกิดขึ้นได้ “ ...ต่อเมื่อเจ้าหนี้ที่อาจได้รับการแปลงหนี้เป็นทุนครั้งที่ 2 ที่มีจำนวนหนี้คงค้างรวมกันเกินว่าร้อยละ 50 ของจำนวนหนี้คงค้างของเจ้าหนี้ตามแผน...”ซึ่งสุดแสนจะเลื่อนลอย
ส่วนข้อสุดท้าย ว่าด้วยการเพิ่มทุนเพื่อแปลงหนี้เป็นทุนให้กับเจ้าหนี้กลุ่ม 7 (เจ้าหนี้ที่เกี่ยวข้องกับบริษัท) กลุ่ม 9 (เจ้าหนี้ตามสัญญาค้ำประกันร่วม) และ กลุ่ม 12 (เจ้าหนี้ค่าธรรมเนียมในการให้บริการตามสัญญาว่าจ้างที่ปรึกษา) ซึ่งไม่มีมูลค่ามากมายนัก ก็ไม่มีรายละเอียดอะไร นอกจากระบุว่า จะยังได้รับชำระตามสัญญาและข้อตกลงเดิม
ทั้งหมดนี้ ไม่นับรวมยอดเงินต้นของมูลหนี้ ที่มีกำหนดว่าจะชำระทั้งหมดในเดือนสุดท้ายของปีที่ 12 ซึ่งหากถึงเวลาจริง จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
เพราะพ้นจากนั้นไปแล้ว เจ้าหนี้อาจจะต้อง “เกิดใหม่”ในชาติหน้าจริงๆ
“อิ อิ อิ”
ที่มา..