ห้องเม่าปีกเหล็ก

ทางรอดของคนทำงานไทยในวันที่ปัญญาประดิษฐ์ครองโลกคืออะไร?

โดย หญิงแม้น
เผยแพร่ :
19 views

ทางรอดของคนทำงานไทยในวันที่ปัญญาประดิษฐ์ครองโลกคืออะไร?

.คุณคุยกับ AI ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่? อาจจะเป็นตอนที่คุณสั่งให้ Siri ตั้งนาฬิกาปลุก ตอนที่ Google Maps แนะนำเส้นทางเลี่ยงรถติด หรือตอนที่คุณให้ ChatGPT ช่วยร่างอีเมลสำคัญ ไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่ เสียงของปัญญาประดิษฐ์ได้แทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราอย่างเงียบเชียบและรวดเร็วจนน่าใจหาย

.

ในตำราเศรษฐศาสตร์ที่เราเคยร่ำเรียน ปัจจัยการผลิตมีเพียง 4 อย่างคือ ที่ดิน แรงงาน ทุน และผู้ประกอบการ แต่ในวันนี้ ‘ท๊อป’ จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา Founder and Group CEO of Bitkub Capital Group Holdings Co., Ltd., ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ Business tomorrow เมื่อวันที่ วันที่ 14 ก.ค. 2568 นำเสียงสะท้อนจากเวที World Economic Forum มาบอกเราว่าโลกกำลังจะมีปัจจัยการผลิตที่ 5 เกิดขึ้น และมันมีชื่อว่า ‘ปัญญาประดิษฐ์’

.

 

การมาถึงของ AI จึงไม่ใช่แค่การมีเครื่องมือใหม่ ๆ ที่ฉลาดขึ้น แต่มันคือการกำเนิดของ ‘แรงงานสายพันธุ์ใหม่’ ที่ไม่เคยเหนื่อย ไม่เคยบ่น และเรียนรู้ได้เร็วกว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ และนี่คือจุดเริ่มต้นของคำถามที่สำคัญที่สุดสำหรับอนาคตของเราทุกคนว่า “เมื่อเครื่องจักรเริ่มทำงานแทนที่เราได้ แล้วมนุษย์อย่างเราจะไปยืนอยู่ตรงไหน?”

------

โลกใหม่ที่แบ่งระดับของมนุษย์และประเทศด้วย AI

ภาพอนาคตที่คุณท๊อปเห็นนั้นอาจไม่ได้สวยงามสำหรับทุกคน เขาชี้ว่าการปฏิวัติของ AI จะแบ่งแยกมนุษยชาติออกเป็นคนเพียงสองกลุ่ม ซึ่งไม่ได้แบ่งด้วยฐานะหรือชาติกำเนิดอีกต่อไป แต่แบ่งด้วยทักษะในการควบคุมปัจจัยการผลิตที่ 5 นี้ นี่คือภาพของสังคมสองชนชั้นที่อาจจะชัดเจนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ ชนชั้น ‘ผู้ควบคุม’ ที่สามารถสั่งการและใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อสร้างมูลค่ามหาศาล และชนชั้น ‘ฟันเฟือง’ ที่ทำงานซ้ำซาก และรอวันที่จะถูกเครื่องจักรเข้ามาแทนที่อย่างไร้ข้อต่อรอง

.

แต่สิ่งที่น่าคิดยิ่งกว่าการแบ่งแยกในระดับปัจเจกบุคคล คือการที่ ‘ประเทศ’ ทั้งประเทศอาจถูกจัดวางให้อยู่ในกลุ่มของผู้ที่กำลังจะ ‘ถูกแทนที่’ ได้เช่นกัน และดูเหมือนว่าประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนปากเหวของความเสี่ยงนั้นอย่างน่าหวาดหวั่น ปัญหานี้ไม่ได้เพิ่งเกิด แต่เป็นภาพสะท้อนของวิกฤตที่ฝังรากลึกมานานหลายทศวรรษ ดังที่คุณท๊อปได้สรุปภาพรวมของวิกฤตนี้ไว้ว่า

.

"ประเทศไทยติดกับดักรายได้ปานกลางมา 50 ปีแล้ว โดยยังส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) ชิ้นส่วนรถยนต์สันดาป ใช้ Skill Set เดิม ๆ ที่ทำมา 50 ปี บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ 50 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดก็ยังเป็นชื่อเดิมเป๊ะ อเมริกาเปลี่ยนไปถึงไหนแล้วใน 20 ปีที่ผ่านมา บริษัท Top 10 หรือ Top 20 เป็น Technology Company หมดแล้ว แต่เมืองไทยยังไม่มีบริษัทเทคโนโลยีอยู่ในนั้นเลย มันต้องถึงเวลาที่เมืองไทยต้องแก้ไข และมี S-curve ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาให้ได้"

คำพูดนี้คือการสะท้อนความจริงอันน่าเจ็บปวด ว่าในขณะที่โลกกำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่อย่าง AI และเทคโนโลยี ประเทศไทยกลับยังคงยึดติดอยู่กับเครื่องยนต์ตัวเก่าที่กำลังจะหมดอายุขัย เราไม่ได้กำลังสร้างชาติด้วย ‘ผู้ควบคุม’ แต่ยังคงพึงพอใจกับการเป็น ‘แหล่งผลิตฟันเฟือง’ สำหรับโลกยุคเก่า และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราเสี่ยงที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่ใช่แค่ในระดับบุคคล แต่ในระดับประเทศเลยทีเดียว

------

การนับถอยหลังของแรงงานยุคเก่า

คำถามสำคัญคือ ใครคือกลุ่มเสี่ยงที่จะกลายเป็น ‘ฟันเฟือง’ ที่ถูกเปลี่ยน? สำหรับประเทศไทย คำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ฝังรากลึกอยู่ในโครงสร้างประชากรของเราเองที่กำลังเดินสวนทางกับโลกยุคใหม่ ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านมีพลังจากคนหนุ่มสาวเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ประเทศไทยกลับเผชิญหน้ากับความจริงอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นความเปราะบางที่สำคัญ ดังที่มีการชี้ให้เห็นในบทสนทนาว่า

.

"สำหรับประเทศไทยนั้นมีความแตกต่างออกไป เนื่องจากได้เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยโดยสมบูรณ์แล้ว โดยมีอายุเฉลี่ยของประชากร (Median Age) อยู่ที่ประมาณ 40 ปีต้น ๆ และมีสัดส่วนประชากรในวัยหลังเกษียณซึ่งมีอายุเกิน 65 ปี อยู่ที่มากกว่าร้อยละ 10"

.

คำพูดนี้สะท้อนภาพความจริงที่น่ากังวล ว่าในสมรภูมิแห่งการปรับตัวรับยุค AI ประเทศไทยไม่ได้เริ่มต้นจากจุดเดียวกับคู่แข่ง เรากำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายสองด้านพร้อมกัน: หนึ่งคือการปฏิวัติทางเทคโนโลยีที่เข้ามาทำลายล้างทักษะแบบเก่า และสองคือโครงสร้างประชากรสูงวัยที่อาจทำให้การสร้างทักษะใหม่เพื่อเป็น ‘ผู้ควบคุม’ นั้นเป็นไปได้ยากและช้ากว่า นี่คือจุดอ่อนที่แท้จริงซึ่งทำให้ ‘ฟันเฟือง’ ของแรงงานไทยเสี่ยงที่จะถูกเปลี่ยนได้ง่ายยิ่งขึ้น

.

ไม่ว่าจะเป็นงานในโรงงาน งานเอกสาร การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น หรือแม้แต่อาชีพที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางแต่มีรูปแบบซ้ำเดิม ล้วนอยู่ในข่ายที่จะถูกแทนที่ได้ทั้งสิ้น เพราะในเกมแห่งความจำ ความขยัน และความแม่นยำ เราไม่มีทางเอาชนะเครื่องจักรที่ถูกออกแบบมาเพื่องานเหล่านี้ได้เลย

------

จะทำอย่างไร เมื่อเรายังคงผลิตคนที่โลกยุคเก่าต้องการ

ความน่ากังวลไม่ได้อยู่แค่การมาถึงของ AI แต่คือการที่ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับพายุลูกนี้ด้วยโครงสร้างที่ไม่แข็งแรง เราไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะสร้าง ‘ผู้ควบคุม’ แต่กลับยังคงผลิต ‘ฟันเฟือง’ สำหรับเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่กำลังจะตกยุค วิกฤตที่ฝังรากลึกนี้ ไม่ได้เป็นเพียงข้อกังวลภายในประเทศ แต่ยังสะท้อนออกมาให้เห็นอย่างเจ็บปวดในเวทีระดับโลก ดังที่คุณท๊อปได้ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงจากการพูดคุยกับทีมงานของ World Economic Forum ว่า

.

"ผมได้ถามทีมงาน World Economic Forum ด้วยความรู้สึกน้อยใจว่า เหตุใดนายกรัฐมนตรีของเวียดนามจึงได้รับเกียรติให้ขึ้นกล่าวบนเวทีอยู่เสมอ ทั้งในการประชุมที่ Davos ช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อน ในขณะที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีของไทยกลับไม่ได้รับโอกาสในลักษณะเดียวกัน ซึ่งทีมงานได้ให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมาจนทำให้ผมถึงกับพูดไม่ออก พวกเขากลับตั้งคำถามว่า “ประเทศไทยมีจุดขายอะไรที่จะนำเสนอต่อเวทีโลก?” และยังได้สะท้อนมุมมองกลับมาอีกว่า ความเกี่ยวข้องหรือความสำคัญของประเทศไทย (Relevancy) ในเวทีโลกนั้นอยู่ตรงไหน"

.

"คำถามดังกล่าวทำให้ผมตกใจและต้องกลับมาคิดว่า ประเทศไทยจะสร้างความสำคัญของตนเองขึ้นมาได้อย่างไร โดยเฉพาะในมิติของเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียนที่กำลังเผชิญกับภาวะสังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว และสิ่งนี้ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในการแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ"

.

ภาพสะท้อนจากโลกข้างนอกนี้ คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าการยังคงผลิต ‘ฟันเฟือง’ สำหรับโลกยุคเก่า ได้ทำให้ความน่าสนใจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดน้อยลงไปอย่างน่าใจหาย

------

ทางออกประเทศไทย ต้องใช้ S-Curve ใหม่ที่ซ่อนอยู่ในรากเหง้า

เมื่อการแข่งขันในสนามเศรษฐกิจดิจิทัลอาจไม่ใช่คำตอบสำหรับประเทศไทยที่มีโครงสร้างประชากรสูงวัย ‘ทางรอด’ อาจเป็นการหันกลับมามองรากเหง้าและปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งซึ่งเรามีอยู่แล้ว เพื่อสร้าง S-Curve ใหม่ในแบบของเราเอง

.

"ประเทศไทยมีจุดเด่นด้านปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental) ที่ดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะความได้เปรียบด้านพืชพรรณและผลผลิตทางการเกษตรจากเขตร้อน ซึ่งมีสารพฤกษเคมี (Phytochemical) ที่สามารถเสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายได้ และเป็นสิ่งที่ประเทศในเขตหนาวไม่มี ดังนั้น ทิศทางนี้จึงควรเป็นจุดขายที่สำคัญของประเทศ"

.

ศักยภาพที่ซ่อนอยู่นี้ คือโอกาสในการสร้างชาติให้เป็นศูนย์กลางด้านสุขภาวะ (Wellness Hub) และตอบสนองต่อเมกะเทรนด์เรื่องการมีอายุยืนยาว (Longevity) ของโลก แต่การมีของดีอยู่กับตัวนั้นยังไม่เพียงพอ

.

"เราจำเป็นต้องค้นหาและสร้างจุดขายนี้ขึ้นมาให้สำเร็จ มิฉะนั้น เราก็จะเผชิญกับคำถามจากเวทีโลกที่ไม่สามารถให้คำตอบได้อีกต่อไป ว่าประเทศไทยมีสิ่งใดจะนำเสนอต่อชาวโลก"

------

บทสรุปสุดท้าย จึงย้อนกลับมาที่การตัดสินใจลงมือทำ ณ ปัจจุบันขณะ เพราะนี่คือโค้งสุดท้ายที่อาจตัดสินอนาคตทั้งทศวรรษของประเทศ

"นี่จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญอย่างแท้จริง หากเราสามารถคว้าโอกาสนี้จากพื้นฐานที่ยังคงมีอยู่ ประเทศไทยก็จะมีโอกาสก้าวต่อไปพร้อมกับกระแสโลกได้ แต่หากเราพลาดโอกาสในครั้งนี้ไป ประเทศไทยก็จะกลายเป็นประเทศที่ไม่มีความสำคัญหรือความเกี่ยวข้อง (Irrelevant) ต่อเศรษฐกิจและ GDP ของโลกอีกต่อไป"

.

แล้วในมุมมองของคุณ ทางออกของประเทศไทยควรเป็นไปในทิศทางใด? เรายังมี S-Curve อื่น ๆ หรือจุดแข็งใดอีกบ้างที่ซ่อนอยู่และยังไม่ถูกนำมาใช้อีกไหม? มาร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดอนาคตของประเทศไปด้วยกัน

 

ที่มาเนื้อหาจาก

BusinessTomorrow

 

 


หญิงแม้น