โพยหุ้น คัดหุ้นน่า “สะสม” ในกลุ่มท่องเที่ยว
รับเดือน ธ.ค.ไฮซีซั่น แถมต่างชาติแห่มาไทยไม่หยุด

.
เข้าสู่ช่วงปลายปีกันแล้ว ถือเป็นไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว ดังนั้นคอลัมน์ โพยหุ้นวันนี้ Wealthy Thai จึงได้รวบรวมหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวมาฝากนักลงทุน สอดรับกับช่วงเดือนธ.ค.นี้ ถือเป็นฤดูกาลของการเดินทางอีกด้วย ประกอบกับนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย
.
ล่าสุดบล.ธนชาต ออกมาให้ความเห็นว่า ประเทศไทยกำลังฟื้นตัวเข้าสู่ระยะกลางของวัฏจักรการเติบโต โดยคาดว่าการขยายตัวของ GDP จะอยู่ที่ 4% ต่อปี ในปี 2566-67 หลังจากการฟื้นตัวในปีแรกที่ 3.2% ในปี 2565 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลัก ได้แก่ การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว (export of services) ค่าขนส่งที่ลดลง (import of services) ราคาพลังงานที่ผ่านจุดสูงสุดแล้ว (การนำเข้าที่ลดลงช่วยลดผลกระทบการส่งออกที่จะอ่อนแอจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก) และการบริโภคที่เพิ่มขึ้น (ผลคูณทวีจากการท่องเที่ยวและแรงหนุนจากการเลือกตั้ง) คาดว่าจุดที่อ่อนแอจะเป็นการส่งออกสินค้า และการลงทุนของภาครัฐ
.
ทั้งนี้ยังคงมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (emerging market) ที่มีความมั่นคงทางการเงินสูงมาก (safe haven) และเมื่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฟื้นตัวมากขึ้นในปีหน้า การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเป็นบวก เงินบาทแข็งค่าขึ้น และเมื่อมีสภาพคล่องในระบบเพิ่ม การปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นก็ไม่น่าจะรุนแรง แนวโน้มเหล่านี้ดูเป็นบวกในภาพรวม
.
แต่อย่างไรก็ตาม ฐานะการเงินที่แข็งแกร่งแบบนี้ก็เป็นผลมาจากการที่ประเทศไทยยังติดกับดักการเติบโตเชิงโครงสร้างที่ยังไม่สูง การลงทุนภาครัฐ และเอกชนที่อ่อนแอ โดยจะยังไม่เห็นแนวโน้มของวัฏจักรการลงทุนใหม่ที่ยั่งยืนในระยะยาว แต่ในระยะสั้นเห็นความหวังที่แนวโน้มการลงทุนภาคเอกชนจะดีขึ้นจากฐานเงินบาทที่อ่อนค่า ได้รับอานิสงส์จากการกระจายการลงทุนทางภูมิรัฐศาสตร์ และอุปสงค์ที่ค้างจากช่วงโควิด (pent-up demand)
.
ขณะที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่ต้นปี – วันที่ 22 พ.ย. อยู่ที่ 8.9 ล้านคน โดยในช่วงเดือน พ.ย. จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเร่งตัวขึ้นเฉลี่ยเข้ามาวันละ 5-6 หมื่นคนต่อวัน และมีโอกาสสูงที่จะเห็นนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้นแตะ 2 ล้านคนในเดือน ธ.ค. และเชื่อมั่นว่าจะถึงเป้า 10 ล้านในปีนี้ จึงมอง “บวก” ต่อกลุ่มโรงแรม-สนามบิน-ค้าปลีก อย่าง CENTEL MINT AOT BA CRC CPALL
.
ส่วนบล.เอเซีย พลัส มีความเห็นว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 65 นักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยเท่ากับ 7.1 ล้านคน ฟื้นตัวสู่ระดับ 22% ของ Pre-COVID ส่วนข้อมูลเบื้องต้น พ.ย. 65 ทาง ททท. เปิดเผยว่านักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย ตั้งแต่ 1 ม.ค. - 22 พ.ย. 65 สะสมอยู่ที่ 8.93 ล้านคน ทำให้ฝ่ายวิจัยประเมิน 1 – 22 พ.ย. 65 มีนักท่องเที่ยวราว 1.77 ล้านคน หรือเฉลี่ย 8 หมื่นคนต่อวัน (71% ของค่าเฉลี่ย พ.ย.62 ที่ 1.13 แสนคนต่อวัน) เชื่อว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยเร่งตัวต่อเนื่องอย่างน้อยถึงไตรมาส 1/66 จากปัจจัยฤดูกาล จึงคงสมมติฐานนักท่องเที่ยวปี 2565 – 66 ที่ 10 ล้านคนและ 20 ล้านคน ตามลำดับ (ปี 2562 ที่ 40 ล้านคน)
.
โดยการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย คาดผลักดัน Earning Momentum ของหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวไทยไต่ระดับ ถึงไตรมาส 1/66 เลือก AOT ( แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 80 บาท) ในฐานะผู้บริหารสนามบินหลักของไทย ตามด้วย CENTEL(แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 54 บาท) รับประโยชน์จากการเติบโตของนักท่องเที่ยวรัสเซีย ที่เป็นฐานลูกค้าหลักของ CENTEL บวกต่อโรงแรมในต่างจังหวัดที่มีสัดส่วนรายได้มากกว่าโรงแรมในกรุงเทพฯ (อิงปี 2562) และ MINT( แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 38 บาท) Catch – up play ตามกลุ่มฯ และกำไรไตรมาส 3/65 ฟื้นเกิน COVID-19 แล้ว นอกจากนี้ยังแนะนำ ซื้อ ERW ราคาเป้าหมาย 5.10 บาท และแนะนำ ซื้อ M ราคาเป้าหมาย 65 บาท
.
สำรวจปัจจัยพื้นฐานอีก 3 หุ้น เริ่มจาก BA โดยบล.พาย ประเมินว่า คงแนะนำ “ซื้อ” ประเมินมูลค่าพื้นฐานได้ใหม่ที่ 14.90 บาท จากเดิม 12.65 บาท มีปัจจัยบวกจากผู้โดยสารที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากรัฐบาลเปิดประเทศ นอกจากนี้ยังได้รับผลดีจากการเปิดบินเส้นทางต่างประเทศเพิ่ม ทำให้ค่าโดยสารปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และทำให้ในช่วงไตรมาส 3/2565 กำไรขั้นต้นกลับมาเป็นบวกได้อีกครั้ง
.
CRC บล. ธนชาต มีความเห็นว่า ยังคงแนะนำ “ซื้อ” CRC ราคาเป้าหมายปี 2566 ถูกปรับขึ้นเป็น 53 บาท (จาก 50 บาท) และเป็นหุ้นที่ชอบที่สุดในกลุ่มฯ นอกจาก CPALL ด้วยไม่เพียงแต่ธุรกิจฟื้นตัวแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังเป็นหุ้นใหญ่ที่เติบโตสูง ด้วยคาดว่า EPS เติบโตเฉลี่ย 3 ปีที่ 30% ปัจจัยหนุนการเติบโตมาจากการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของทุกสายธุรกิจ และการขยายสาขา อีกทั้งเรายังกังวลต่อภัยคุกคามจากแพลตฟอร์มออนไลน์น้อยลงด้วย เนื่องจาก CRC ประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่องทาง omni
.
CPALL โดยบล. ดาโอ (ประเทศไทย) มีความเห็นว่า แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 68 บาท โดยไตรมาส 4/2565 จะเห็นการฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 4/2565 และผลการดำเนินงานเริ่มกลับเข้าใกล้ pre-covid ทั้ง CVS, B2B (Makro), B2C (Lotus’ s) ในปี 2566 และมี upside จากนักท่องเที่ยวชาวต่างที่กลับมาต่อราคาเป้าหมายที่ 1.1 บาท