ส่องโอกาส BGC หลังแรงกดดันจากราคาพลังงานลดลง โบรกเกอร์มอง Carbon Neutrality ช่วยสร้างโอกาสใหม่ให้กับธุรกิจ
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์กำลังเจอกับความท้าทายอย่างหนัก ท่ามกลางความผันผวนของราคาต้นทุนด้านพลังงงาน ทำให้หลายบริษัทต้องเจอกับปัญหาการขาดทุน แต่บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้ว และแพคเกจจิ้งรายใหญ่ในไทยและภูมิภาคอาเซียน ยังมีรายได้ที่เติบโตต่อเนื่อง และกำลังจะได้รับผลดีของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์ ยังมองว่า BGC ยังมีโอกาสได้รับผลบวกจากการวางแผนในการมุ่งสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2593 อีกด้วย
ผลงานในไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา BGC เจอความท้าทายอย่างมาก บริษัทมีรายได้จากการขาย จำนวน 2,924 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 306 ล้านบาท หรือ 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากรายได้กลุ่มเบียร์เพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
รวมทั้งกลุ่ม Soft Drinks เพิ่มขึ้น 33 ล้านบาท หรือ 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่มาจากรายได้ของการส่งออกที่เพิ่มขึ้น 185 ล้านบาท หรือ 124% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในหลายประเทศอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มแพคเกจจิ้ง ไตรมาส 2/2565 มีรายได้จากการขาย จำนวน 526 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59 ล้านบาท หรือ 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย กลุ่ม Rigid Plastics 30 ล้านบาท และผลิตภัณฑ์กระดาษ 29 ล้านบาท
แต่อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาส 2/2565 มีกำไรสุทธิที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ จำนวน 108 ล้านบาท ลดลง 14 ล้านบาท หรือ 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนพลังงานปรับตัวสูงขึ้น
แม้ในครึ่งปีแรกผลการดำเนินงานของ BGC จะเจอความท้าทายสูง แต่ต้นทุนพลังงานนั้นอาจมีแรงกดดันที่ลดลง โดยจะทำให้ BGC มีแนวโน้มที่ดีในอนาคต สะท้อนจากบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินว่า ความกดดันในด้านต้นทุนพลังงานนั้นน่าจะผ่านไปแล้ว ทั้งนี้เบื้องต้นคาดกำไรปกติผ่านจุดต่ำสุดของรอบไปแล้วจาก
1) ราคาพลังงานและวัตถุดิบที่มี Upside จำกัด
2) ปริมาณขายบรรจุภัณฑ์ที่มีการฟื้นตัวหลัง COVID-19 คลี่คลาย และมีการเปิดรับนักท่องเที่ยว
3) ประสิทธิภาพในการผลิตของธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษ และพลาสติกที่สูงขึ้น
4) รายได้จากการส่งออกที่เติบโตต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯวางแผนในการมุ่งสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2593 โดยแบ่งแผนงานออกเป็น 3 ระยะคือ
1) ปี 2564-2568: เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้และอนุรักษ์พลังงาน
2) ปี 2569-2573: เริ่มใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิต
3) ปี 2574-2593: เปลี่ยนเตาหลอมเป็นแบบ Hybrid และเริ่มมีการใช้เทคโนโลยีดักจับคาร์บอน
ดังนั้นจึงปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ ครึ่งปีแรกของปี 2566 ที่ 12.00 บาท/หุ้น แม้ระยะสั้นมีโอกาสถูกกดดันจากประเด็นการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่คาดได้รับผลกระทบจำกัด จึงปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ" ราคาเหมาะสมที่ 12.00 บาท
ส่วน บล.โนมูระ พัฒนสิน มองว่า แม้ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 มีกำไร 108 ล้านบาท สูงกว่าคาด 17% แต่มาจากรายการพิเศษ ส่วนกำไรปกติอยู่ที่ 71 ล้านบาท ต่ำกว่าคาด 23% จากต้นทุนที่สูงกว่าคาด โดยแม้ยอดขายขวดแก้วฟื้นตัว 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และยอดขายบรรจุภัณฑ์อื่นโต 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ไม่เพียงพอชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นได้ (ทั้งต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบ)
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในปี 2565 ยอดขายจะเติบโตได้ตามสถานการณ์โควิดที่เริ่มคลี่คลาย แต่เป็นปีที่ต้นทุนการผลิตที่อยู่ระดับสูงต่อเนื่อง และจะเป็นตัวกดดันให้กำไรนี้จะอยู่ที่ 494 ล้านบาท จึงคงคำแนะนำ “Neutral” ที่ราคาเป้าหมาย 10.50 บาท