FedEx ราคาร่วง 16% พาตลาดกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว

เมื่อวันที่ 16/09/2022 FedEX (FDX US) ผู้ให้บริการขนส่งสินค้ารายใหญ่ของโลก (global delivery firm) ที่ครอบคลุมการให้บริการมากกว่า 220 ประเทศทั่วโลก ได้มีการรายงานงบไตรมาส 1/2023 (ยังไม่ตรวจสอบ) สิ้นสุด ณ วันที่ 31/08/2022 เผยผลกำไรลดลง ส่งสัญญาณเตือนถึงแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยรายงาน EPS Q1/2023 ลดลง 21% YoY ซึ่งเป็นมาจากกำไรจากธุรกิจ Express ที่ลดลงเป็นหลัก (FedEx มีกำไรจากธุรกิจ Express คิดเป็น 40% ของกำไรจากการดำเนินงานรวม) โดยหลังจากการรายงานผลการดำเนินงานทำให้ราคาหุ้น ณ วันที่ 16/09/2022 ร่วงราว 16%
ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานมาจากทั้งเพิ่มขึ้นของต้นทุนค่าครองชีพทั้งค่าอาหาร น้ำมันเชื้อเพลิง ค่าเช่าที่อยู่อาศัย ทำให้ประชาชนลดการใช้งานผ่านทาง e-commerce ปรับวิถีชีวิตประจำวัน และส่งผลต่อปริมาณการขนส่งสินค้าที่ลดลง ซึ่งการชะลอตัวดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นแค่สหรัฐฯ แต่รวมถึงประเทศอื่นๆ ทั้งในแถบยุโรปและเอเชีย
แผนการรับมือของ FedEx
แผนการรับมือของ FedEx มีทั้งการปรับลดต้นทุนทั้งการปิดสาขาสำนักงานราว 90 แห่ง การปรับลดจำนวนชั่วโมงการทำงาน ลดความถี่ของการขนส่งทางอากาศ เป็นต้น โดยคาดว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะเริ่มทวีความรุนแรงตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2022 เป็นต้นไป ทำให้นักวิเคราะห์หลายสำนักปรับเป้าราคา 12 เดือนของ FedEx ลง
ปัจจัยที่นักลงทุนควรทราบ:
ความเสี่ยงหลักคือการลดลงของปริมาณการขนส่งสินค้าเนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั้งในเอเชียโดยเฉพาะจีนที่มีการ Lockdown และปัญหาสภาพอากาศ อีกทั้งปัญหาเงินเฟ้อระดับสูงทั้งในยุโรป และสหรัฐฯ
FedEx มีจุดแข็งจากการขนส่งสินค้าที่เน้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Goods) ที่แม้เศรษฐกิจจะปรับตัวลง บริษัทอาจจะยังสามารถได้รับรายได้จากการให้บริการในส่วนดังกล่าว เพื่อรอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะยาวที่การขนส่งกลับมาสู่ภาวะปกติ
บริษัทยังมีสัญญาระยะยาวในการให้บริการกับทาง U.S. Postal Service (USPS) จนถึงปี 2024 เพื่อให้บริการขนส่งทางอากาศ และมีโอกาสได้รับการต่อสัญญาในระยะยาว
Investor Tips:
FedEx Corporation – ผู้ให้บริการขนส่งสินค้ารายใหญ่ของโลก (global delivery firm) ที่ครอบคลุมการให้บริการมากกว่า 220 ประเทศทั่วโลก จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ NYSE ประเทศสหรัฐฯ มี Ticker Code ในการซื้อขาย “FDX US” และมีขั้นต่ำในการซื้อขาย 1 หุ้น (Trade Lot) โดยนักลงทุนต้องแลกเป็นเงินสกุล USD เพื่อทำการซื้อขายหลักทรัพย์
Source: KS OFFSHORE, CFRA Research, Bloomberg