เปิดโมเดลธุรกิจสุดเเหวก "พาทาโกเนีย" เดินต่ออย่างไร เมื่อยกหุ้น 98% ให้โลก!
พาทาโกเนีย(Patagonia) บริษัทที่เเต่เดิมผู้ถือหุ้นมีสิทธิ์ทั้งตัดสินใจในบริษัทเเละรับปันผล เปลี่ยนเป็นการโหวตกับการรับผลประโยชน์ให้เเยกขาดจากกัน อีกทั้งผลประโยชน์ที่ได้ก็บริจาคเพื่อสิ่งเเวดล้อมด้วย โมเดลธุรกิจนี้ขับเคลื่อนได้อย่างไร ติดตามได้ในบทความนี้
เป็นเรื่องที่หาได้ยากมากกับการที่ธุรกิจหนึ่งจะยอมสละ “กำไรส่วนใหญ่” บริจาคแก่สังคม ซึ่งโดยทั่วไปที่เห็นบ่อยๆ จะเป็นเพียงการบริจาคในสัดส่วนที่น้อยมาก ไม่เกิน 5-10% แต่เมื่อเดือนกันยายน 2565 บริษัทแบรนด์เสื้อผ้าเอาต์ดอร์ชื่อดังอย่าง “พาทาโกเนีย” (Patagonia) โดยอีวอง ชูนาร์ด (Yvon Chouinard) ผู้ก่อตั้งและเจ้าของ ได้ประกาศบริจาคเงินปันผลทั้งหมดของหุ้น 98% จากทั้งหมด 100% ให้กิจกรรมช่วยโลกร้อน!
- อีวอง ชูนาร์ด ขณะเขียนความในใจบริจาคผลกำไรให้โลก (เครดิต: Courtesy Campbell Brewer/Patagonia) -
ตามแถลงการณ์เมื่อเดือนกันยายน 2565 เขาระบุถึงเหตุผลหลักในการตัดสินใจครั้งนี้ ก็เนื่องจากโลกทุนนิยมในปัจจุบัน ทำให้สภาพแวดล้อมที่เคยเป็นอยู่เปลี่ยนไปในทางเลวร้ายลง และความไม่เท่าเทียมทางสังคมก็สูงขึ้น ตระกูลชูนาร์ดจึงต้องการรักษาโลกใบนี้ไว้ให้มากที่สุด โดยยอม “สละความเป็นเจ้าของ” พร้อมโอนหุ้นส่วนใหญ่ คือ 98% ให้กับมูลนิธิเพื่อสิ่งแวดล้อม และแยกหุ้น 2% ออกมาเพื่อการบริหารงาน เพื่อให้แยกขาดจากกันอย่างชัดเจน
หุ้นส่วนแรก ที่เป็น “ส่วนน้อย” แต่มีสิทธิในการบริหารงาน อยู่กับ“ทรัสต์” หรือผู้รักษาผลประโยชน์ให้ตระกูลชูนาร์ด ในชื่อว่า “Patagonia Purpose Trust” ถือหุ้น 2% แต่มีอำนาจโหวตกำหนดนโยบายบริษัท
หุ้นส่วนที่สอง เป็นหุ้น “ส่วนหลัก” อยู่ในความครอบครองขององค์กรไม่แสวงหากำไรเพื่อช่วยสิ่งแวดล้อม ในชื่อว่า “Holdfast Collective” ซึ่งถือหุ้น 98% ไม่มีอำนาจโหวต แต่สามารถนำ “กำไร” ที่ได้จากบริษัทพาทาโกเนียหลังหักค่าใช้จ่าย หลังการลงทุนของบริษัทต่างๆแล้ว มาปันผลบริจาคช่วยโลกร้อนทั้งหมด
จุดสำคัญของโมเดลธุรกิจนี้คือ หุ้นส่วนทั้งสองกลุ่มจะแยกขาดออกจากกัน ขณะที่ฝั่ง “ทรัสต์” สามารถกำหนดทิศทางบริษัทได้ แต่เข้ามามีบทบาทในผลกำไรขององค์กรไม่แสวงหากำไรนี้ไม่ได้ ในทางกลับกันฝั่ง “องค์กรไม่แสวงหากำไร” ที่ถือหุ้นอยู่ 98% ก็ไม่สามารถแทรกแซงการกำหนดนโยบายของทรัสต์ได้เช่นกัน ถ้ากล่าวโดยสรุปสั้นๆ คือ แยกฝั่งบริหารกับฝั่งถือเงินออกจากกัน
“เป็นเวลาครึ่งศตวรรษแล้วที่พวกเราเริ่มการทดลองธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ ถ้าเรามีความหวังที่จะให้โลกอยู่ไปถึงอีก 50 ปีข้างหน้า พวกเราจำเป็นต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาทรัพยากรที่พวกเรามีอยู่ ในฐานะผู้นำธุรกิจที่ผมไม่ต้องการเป็นเลย ผมก็กำลังทำในส่วนของผม แทนที่จะดูดเอาคุณค่าจากธรรมชาติมาแปลงเป็นความมั่งคั่ง พวกเราจะใช้ความมั่งคั่งนี้มาปกป้องธรรมชาติแทน พวกเรากำลังทำให้โลกใบนี้เป็นหุ้นส่วนหนึ่งเดียวของเรา ผมจริงจังอย่างยิ่งกับการรักษาโลกใบนี้”
นี่คือคำกล่าวของ อีวอง ชูนาร์ด ผู้ก่อตั้งบริษัทพาทาโกเนีย สะท้อนปณิธานอันแรงกล้าในการปกป้องโลกใบนี้
- รายได้บริษัทพาทาโกเนียที่ผ่านมาก่อนบริจาคให้การกุศล ค่อนข้างคงที่ (เครดิต: Statista) -
- ข้อวิจารณ์เรื่องความเป็นอิสระและการเสียภาษี
แม้ว่าบริษัทพาทาโกเนียจะแยกฝั่งบริหารกับฝั่งถือเงินออกจากกัน แต่ครอบครัวชูนาร์ดยังคงมีบทบาทในทั้งฝั่งทรัสต์และฝั่งองค์กรเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยตระกูลชูนาร์ดชี้แจงว่า เหตุผลที่ยังคงอยู่ในบอร์ดกรรมการ ก็เพื่อให้ทิศทางบริษัทยังคงเป็นไปเพื่อสิ่งแวดล้อม หากขายบริษัทออกไป เกรงว่าเจ้าของคนใหม่จะไม่นำผลกำไรที่ได้ไปบริจาคเพื่อสิ่งแวดล้อมอีก แต่อาจนำมาสร้างความมั่งคั่งบริษัทแทน
นอกจากนี้ อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ การดำเนินธุรกิจสายรักษ์โลกเช่นนี้ ยังส่งผลดีย้อนกลับสู่ธุรกิจผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษี เนื่องจากเงินปันผลหลังหักค่าใช้จ่าย และการลงทุนของบริษัทต่างๆ ที่ถูกนำมาบริจาคเพื่อการกุศลทั้งหมดนั้น ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามส่วน 501(c)(4) ของรัฐบาลกลางสหรัฐ(U.S. Federal Income Tax Code)
จากความมุ่งมั่นของตระกูลชูนาร์ด ที่ยอมสละผลกำไรเกือบทั้งหมดของบริษัทช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เป็นมิติใหม่แห่งธุรกิจ ที่ไม่ยึดติดผลกำไรบริษัทเป็นที่ตั้ง แต่ยึดความมั่นคงของโลกแทน ที่การช่วยซื้อเสื้อผ้าแบรนด์พาทาโกเนียก็เท่ากับการช่วยรักษาโลกใบนี้ด้วย!
อ้างอิง: patagoniaworks, medium.com, bloomberg