” จีน-สหรัฐ” ชิง “จัดระเบียบโลก” ฐานผลิตมูฟครั้งใหญ่
ปมความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์มีความชัดเจนและแบ่งขั้วอำนาจให้เห็นมากยิ่งขึ้นว่าในนาทีนี้ “จีน และ สหรัฐ “ ตัวแทนของชาติมหาอำนาจซีกโลกตะวันออกและตะวันตกสร้างปมชิงผู้นำจัดระบียบโลก
ผ่านการแข่งขันและความขัดแย้งทำให้เกิดผลกระทบตามมาเป็นลูกโซ่ทั้งเศรษฐกินแบ่งข้าง ภาวะเงินเฟ้อ และสงครามทางเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ จนเป็นที่มาของการปรับฐานการผลิตครั้งใหญ่
ประเด็นดังกล่าวถือว่ามีความข้มเข้นมาตั้งแต่ยุคประธานาธิบดี ของสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมป์ ” ชนะการเลือกตั้งด้วยนโยบาย American First จนกลายมาเป็น สงครามทางการค้า ที่ขึ้นกำแพงภาษีสินค้าที่มาจากจีนหลังสหรัฐเป็นผู้บริโภคสินค้าอันดับ 1ของโลกและมีคู่ค้าสำคัญที่ต้องยอมขาดดุลการค้ามาตลอด คือ จีน
ด้วยข้อได้เปรียบที่จีนเป็นประเทศที่เป็นฐานการผลิตใหญ่ของโลก ค่าแรงที่ถูก แรงงานจำนวนมหาศาล ทำให้จียก้าวขึ้นมาเป็น “พ่อค้ารายใหญ่ของโลก” ผ่านการส่งออกที่เติบโตในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสหรัฐเริ่มต้นทำสงครามกาค้ากับจีนอย่างเป็นทางการด้วยการตั้งกำแพงภาษีสินค้าที่นำเข้าจากจีน การจัดตั้งเวทียุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership: TPP) โดยไม่ได้มีจีนเข้าร่วม
ถัดมาสงครามเทคเริ่มขึ้น เมื่อสหรัฐประกาศแบนสินค้า หัวเว่ย (Huawei) ด้วยการคว่ำบาตรบริษัท SMIC (Semiconductor Manufacturing International Corporation) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีน โดยการส่งออกซอฟต์แวร์และชิปจากสหรัฐ ไปยังบริษัท SMIC จะต้องได้รับใบอนุญาตจากทางการของสหรัฐ การจำกัดการเข้าถึงอุปกรณ์เทคโนโลยีของสหรัฐระบุถึงความมั่งคงทางทหาร
ยังไม่นับรวมไปถึงความอ่อนไหวทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่าง 2 ประเทศที่เด่นชัดจากสงครามรัสเซีย –ยูเครน ทำให้เกิดการแบ่งข้างคือสหรัฐ ยุโรป อีกด้านรัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ และอินเดีย ขณะที่ปัญหาไต้หวันเป็นตัวจุดฉนวนความไม่พอใจของทั้ง 2 ขั้วอำนาจ
สะท้อนได้จากเคสล่าสุดที่สร้างความอ่อนไหวให้กับทั้ง 2 ฝ่ายกรณี “ยิงบอลลูนจีน” ของ กองทัพอากาศสหรัฐหลังลอยอยู่เหนือน่านฟ้าครั้งแรกใกล้รัฐอะแลสกา จนทางการจีนออกแถลงการณ์แสดงความไม่พอใจและไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงที่สหรัฐใช้กำลังทหารยิงบอลลูนจีน
ทางจีนไม่ยอมน้อยหน้าด้วยการประกาศ แบนสินค้าบริษัทสัญชาติอเมริกัน โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่สินค้าผลิตจาก Apple การแบนดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าในกลุ่มประเทศอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชีย ซึ่งเป็นห่วงโซ่อุปทานในการผลิตชิ้นส่วนประกอบของเทคโนโลยีและอุปกรณ์ไอที อาทิ ไต้หวัน เกาหลีใต้ รวมถึงไทย
ยังไม่นับรวมไปถึง ความอ่อนไหวทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ระหว่าง 2 ประเทศที่เด่นชัดเฉพาะด้านผลกระทบด้านเศรษฐกิจถือว่ามีความรุนแรงหลังสภานการณ์โควิดคลี่คลาย กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเดินหน้า กลับเผชิญปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูง ต้นทุนการผลิตเพิ่ม ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ต้องตัดสินใจย้ายฐานการผลิตชัดเจน
ข่าวใหญ่เดือนม.ค. Sony Group ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตกล้องถ่ายรูปเพื่อส่งออกไปจำหน่ายในสหรัฐและยุโรป จากจีนมายังไทย เพื่อลดการพึ่งพาจีนหลังจากความตึงเครียดระหว่างจีน-สหรัฐเพิ่มขึ้นรวมไปถึงยังมีผลกระทบ Supply Chain หยุดชะงักบ่อยครั้งจากนโยบาย Zero COVID ของจีน
ด้าน Apple มีข่าวออกมาตลอดว่า ซัพพลายเออร์หลักเตรียมทดสอบสายการผลิตนอกเหนือจากจีนไปยังเวียดนาม ทั้งที่สินค้าของ Apple กว่า 90% ถูกผลิตในจีนมานานกว่าทศวรรษ รวมไปถึงบริษัทไอทียักษ์ใหญ่อย่าง Google, Dell และ Amazon มีข่าวว่ากระจายสายการผลิตจากจีนไปยังเวียดนามบ้างแล้วเช่นกัน
นอกเหนือจากสินค้าเทคโนโลยี กลุ่มผู้ผลิตเสื้อผ้าแฟชั่นให้แบรนด์เสื้อผ้าญี่ปุ่นจำนวนมาก อาทิ Adastria Oyama Trading และ Matsuoka Corporation ผู้ผลิตเสื้อผ้าให้บริษัท Uniqlo อยู่ระหว่างย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกจากจีนไปยังประเทศสมาชิกความตกลงการเป็นหุ้นส่วนระดับภูมิภาค (RCEP) อาเซียน โดยเฉพาะเวียดนามและกัมพูชา
ปัจจัยดังกล่าวธุรกิจนิคมฯ ถือว่ามีผลดีไปโดยปริยาย เพราะในไทยมีการเดินหน้าดึงความได้เปรียบในการเป็น Hub Supply Chain ยานยนต์รไฟฟ้าต่อเนื่อง ซึ่งการตั้งฐานผลิตของ BYD จากจีนสะท้อนดีมาร์ทได้ดี
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน ระบุความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐที่ยังมีต่อเนื่อง และยังมีความคืบหน้า กระทรวงคมนาคมขอขออนุมัติ ครม. เพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อนหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-นครราชสีมา หรือมอเตอร์เวย์(M6) จานวน 12ตอน (สัญญา) วงเงิน 4,970 ล้านบาท เพิ่มเติมส่วนที่ได้ประมูลและลงนามกับผู้ว่าจ้างไปแล้ว สร้างโอกาสดึงเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ (FDI) ระยะถัดไป บวกต่อหุ้นนิคมไทย