โบรกคาด‘กลุ่มพลังงาน’ฟื้น งบไตรมาส 4 ปี 67 เติบโต รับ ‘ดีมานด์จีน’ เริ่มดีขึ้น
โบรกคาด‘กลุ่มพลังงาน’ฟื้น งบไตรมาส 4 ปี 67 เติบโต รับ ‘ดีมานด์จีน’ เริ่มดีขึ้น แม้ ‘นโยบายทรัมป์-ในประเทศ’ กดดัน มองผ่านจุดคต่ำสุดแล้ว
โบรกคาด “กลุ่มพลังงาน” ทยอยฟื้นตัว หลังผ่านจุดต่ำสุดแล้ว เชื่อกระทบดัชนีหุ้นไทยไม่มาก “บล.หยวนต้า” ชี้สัญญาณความต้องการจากจีนเริ่มดีขึ้น “บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล” คาดนโยบายทรัมป์กดดันราคาน้ำมันร่วง เหตุสะกัดเงินเฟ้อไม่สูง “บล.กรุงศรี” มองผลประกอบการกลุ่มพลังงานโอกาสฟื้นตัว หลังคลายกังวลลง

“กลุ่มพลังงาน” ทั้ง น้ำมัน โรงกลั่น และปิโตรเคมี ยังคงได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลนโยบายอุดหนุนการผลิตน้ำมันของประธานาธิบดี “โดนัล ทรัมป์” ก่อให้เกิดปัญหา Over supply ในตลาดน้ำมัน นอกจากนี้ปัจจัยภายในประเทศจากการที่รัฐบาลเตรียมออกมาตรการกฎหมายคุมราคาน้ำมัน จึงเป็นอีกหนึ่งแรงกดดันของกลุ่มดังกล่าว ส่งผลให้ราคาปรับตัวลงมา โดยนักวิเคราะห์มองว่า กลุ่มดังกล่าวได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และไม่น่าจะเป็นตัวฉุดให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมาอีก เนื่องจากมีอัปไซต์จำกัด
นายปรินทร์ นิกรกิตติโกศล ผู้อำนวยฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า หากมองภาพราคาน้ำมันทั้งปี 2568 ราคาน้ำมัน 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ปีที่ผ่านเฉลี่ยอยู่ที่ 81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยดีมานด์มีการเติบโตแต่เป็นการโตชะลอตัวลง ส่วนซัพพลายมีการเพิ่มเข้ามาจากฝั่งของนอนโอเปกและโอเปก
โดยนอนโอเปกที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐ แคนนาดา บราซิล ขณะที่ โอเปกปัจจุบันมาตรการลดการผลิตแบบสมัครใจ 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ของกลุ่มโอเปกพลัส ในวันที่ 1 เม.ย. 2568 จะเริ่มทยอยผลิตเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ซัพพลายเพิ่มเข้ามา และคาดราคาน้ำมันปีนี้สู้ปีที่ผ่านมาไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ฝั่งปิโตรเคมี สถานการณ์อาจจะดูดีกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย โดยคาดว่าดีมานด์จากจีนจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น แต่ฝั่งซัพพลายช่วงที่ผ่านมาเข้ามาในตลาดค่อนข้างเยอะ ซึ่งอัตราการใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมยังอยู่ในเกณฑ์ไม่สูง ซึ่งถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าปีที่ผ่านมาแม้ว่าจะดีขึ้นมาบ้าง
ส่วนภาพผลิตภัณฑ์ปีนี้ยังไม่อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ดี ฉะนั้น กลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี ยังเป็นลักษณะเทรดดิ้งแบบระยะสั้น หากในช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 ที่น่าสนใจคือ หุ้น PTTEP เป็นตัวเลือกหลัก เนื่องจาก PTTEP งบยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ปริมาณการขายดีจากปีที่ผ่านมา มีการขยายกำลังการผลิต แม้ว่าราคาน้ำมันจะสู้ปีก่อนหน้าไม่ได้แต่ผลกระทบยังไม่ได้เข้ามาทันที ไตรมาส 4 ปี 2567 มีการพรีวิวไปแล้วคาดกำไรอยู่ในการประคองตัวที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี และทั้งปี 2567 มีโอกาสทำกำไรได้
ทั้งนี้ ในส่วนดัชนีหุ้นไทยมีการปรับตัวลงมาจากก่อนหน้านี้ ทำให้มีดาวน์ไซด์จำกัด จึงไม่ได้มองว่า กลุ่มนี้เป็นตัวฉุดดัชนีหุ้นไทย เพราะที่ผ่านมาหุ้นแต่ละตัวมีปัจจัยเฉพาะตัว อย่าง TOP PTT ที่มีปัจจัยเฉพาะตัวเข้ามาหนุน และ Valuation แต่กลยุทธ์เน้นเทรดดิ้งสั้น ช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 และปันผลจะประกาศพร้อมงบ โดยมองงบไตรมาส 4 ปี 2567 มีการฟื้นตัวไตรมาสก่อน
นายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มว่า ทรัมป์ต้องการให้น้ำมันดิบปรับตัวลดลงมา เพราะอยากให้เงินเฟ้อไม่สูงไปมากกว่านี้ และเมื่อเงินเฟ้อสหรัฐลงก็จะทำให้ดอกเบี้ยเฟดลดลงมาตามนี่คือ สิ่งที่ทรัมป์ต้องการ
ทั้งนี้ ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 50-55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ทรัมป์มีความกดดันอยู่ หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี โรงกลั่น ยังคงได้รบผลกระทบ ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ อย่าง PTTEP และ PTT จะได้ผลกระทบจากปัจจัยในประเทศที่กดลงให้ต่ำ รวมถึงค่าน้ำมันที่ต้องการให้ดีเซลล์ไม่สูงเกินไป
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.กรุงศรี ให้ข้อมูลเสริมต่อไปว่า นโยบายทรัมป์ที่ออกมาเพื่อต้องการควบคุมเงินเฟ้อสหรัฐ ดังนั้น จึงอยากให้โอเปกหาแนวทางทำให้น้ำมันไม่สูงมาก ซึ่งจะเห็นได้ว่าภาพรวมของราคาน้ำมันมีการพักตัวในช่วงก่อนหน้าพอสมควรแถวบริเวณ 76-77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยมีความกังวลซัพพลายที่จะเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี ภาพเศรษฐกิจโดยรวมโลกยังดูแข็งแรง ขณะที่ ทรัมป์มีการสนับสนุนการใช้พลังงานฟอสซิลให้อยู่ในจุดการเปลี่ยนผ่าน เพื่อให้ฟอสซิลไปสู่ไฟฟ้า (อีวี) ไม่เร็วจนเกินไป และทำให้อุตสาหกรรมไม่ได้รับผลกระทบมาก เพราะจะเห็นได้ว่าทรัมป์มีการยกเลิกข้อตกลงปารีส ทำให้เห็นว่า ทรัมป์ไม่ได้มุ่มเน้นเสริมไปที่พลังงานสะอาดเพียงอย่างเดียว จึงทำให้มองไม่ได้เป็นปัจจัยลบต่อหุ้นกลุ่มดังกล่าวมากนัก
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มดังกล่าวยังขึ้นอยู่กับดีมานด์ ซัพพลายโลกเป็นหลัก ซึ่งที่ผ่านมาซัพพลายกระทบแค่ระยะสั้น แต่ทว่ากลับมาที่บ้านเราด้านพลังงานต้องติดตามดู ซึ่ง ณ ปัจจุบัน กลุ่มปิโตรเครมี มีสัญญาณบวกหลายตัวที่มีการเร่งตัวขึ้น ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ถือเป็นสัญญาณที่ดี โดยหากไปดูที่โมโนเมอร์ โพรรีเมอร์ ไฟเบอร์ 3 เซกเมนต์นี้ ปรับเพิ่มขึ้นมาหมดสูงกว่าไตรมาส 4 ที่ผ่านมา
โดยงบไตรมาส 4 กำลังอยู่ในขั้นตอนของการพรีวิว แต่สิ่งหนึ่งที่มองภาพของกลุ่มอาจจะคลายกังวลลง หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นจากเดือน 9 ปี 2567
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก… https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1164341