ห้องเม่าปีกเหล็ก

จับตา GPSC - OR งบ Q4/65 พลิกขาดทุน

โดย Forest
เผยแพร่ :
222 views

จับตา GPSC - OR งบ Q4/65 พลิกขาดทุน หลังต้นทุนพลังงานพุ่ง-ค่าการตลาดลดลง

.

ราคาหุ้น GPSC - OR ถูกกดดัน หลังคาดงบไตรมาส 4/65 ส่อแววพลิกขาดทุน โดย GPSC ได้รับผลกระทบจากต้นทุนพลังงานปรับตัวสูงขึ้นมาก ขณะที่ OR รับผลกระทบจากค่าการตลาดลดลง หลังมีการปิดซ่อมโรงกลั่นของกลุ่ม PTT พร้อมถูกปรับลดคาดการณ์กำไร และ ราคาเป้าหมาย

.

.

*** GPSC มีโอกาสพลิกขาดทุนใน Q4/65 ต้นทุนเชื้อเพลิงพุ่ง

.

นายปรินทร์ นิกรกิตติโกศล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า ผลประกอบการ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด(มหาชน) หรือ GPSC ในไตรมาส 4/65 แม้ราคาจำหน่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า SPP ให้ลูกค้าอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นตามการรับรู้ค่า Ft งวดเดือนก.ย. - ธ.ค. ที่ระดับ 93.43 สตางค์/หน่วยเต็มไตรมาส (เทียบกับไตรมาส 3/65 ที่รับรู้ค่า Ft เฉลี่ยเพียง 47.66 สตางค์/หน่วย เพราะรับรู้เพียง 1 เดือน) แต่ประเมินว่าผลประกอบการ GPSC ในไตรมาส 4/65 อาจพลิกเป็นขาดทุน 381 ล้านบาท (เทียบกับกำไร 331 ล้านบาทในไตรมาส 3/65 และ กำไร 1.2 พันล้านบาทในไตรมาส 4/64)

.

โดยหากเทียบกับไตรมาส 3/65 คาดต้นทุนเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ และ ถ่านหินอาจเพิ่มขึ้นระดับ 5-20% เพราะโครงสร้างการซื้อขายที่มี Lag-time จากราคาอ้างอิงในตลาดโลก , ความต้องการใช้ไฟฟ้า และ ไอน้ำจากลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) จะลดลงตามแผนปิดซ่อมบำรุงของลูกค้าหลายราย เช่น กลุ่มพลังงาน – ปิโตรเคมีในเครือ PTT , ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนลดลง โดยเฉพาะตามปัจจัยฤดูกาลของโรงไฟฟ้าพลังงานไอน้ำในประเทศลาว , อัตราค่าไฟฟ้าได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า

.

อย่างไรก็ตาม หากไตรมาส 4/65 เป็นไปตามคาด ประมาณการกำไรสุทธิปี 65 อยู่ที่ 3 พันล้านบาท จะมี Downside อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากกำไร 9 เดือน 65 คิดเป็นเพียง 45% และ คาดการณ์ปี 65 อยู่บนความคาดหวังต่อการฟื้นตัวในไตรมาส 4/65

.

นอกจากนี้ ยังคงมุมมองบวกต่อทิศทางผลประกอบการปี 66 ว่า จะเห็นการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญเป็น 5.7 พันล้านบาท ซึ่งนับเป็นการเติบโตแบบ Turnaround ครั้งแรกในรอบ 2 ปี หนุนด้วยการฟื้นตัวของ Margin การจำหน่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า SPP ตามการปรับขึ้นค่า Ft โดยงวดเดือนม.ค. - เม.ย. 66 จะเรียกเก็บที่ 154.92 สตางค์/หน่วย (+61.49 สตางค์/หน่วยจากไตรมาส 4/65)

.

ซึ่ง Sensitivity ทุก 1 สตางค์จะส่งผลต่อกำไร 63 ล้านบาท/ปี , ต้นทุนเชื้อเพลิงทั้งถ่านหิน – ก๊าซธรรมชาติ ต่ำลง YoY ตามสถานการณ์อุปทานขาดแคลนพลังงานที่เริ่มคลี่คลาย และ การเร่งผลิตก๊าซในอ่าวไทยที่มีราคาต่ำ , รับรู้กำลังผลิตไฟฟ้าจากโครงการที่ COD ในปีก่อนเต็มปี เช่น Avaada และ Glow Energy Phase 2 , รับรู้เงินเคลมประกันภัย

.

ทั้งนี้ ราคาหุ้น +21% ภายใน 3 เดือน Outperform SET ที่ +5% สอดคล้องการเพิ่มน้ำหนักลงทุนในช่วงที่ผ่านมา แม้ในระยะกลาง - ยาว ยังชอบ GPSC ในแง่การฟื้นตัวของผลประกอบการปี 66 , เป็นตัวเลือกการลงทุนที่ดีช่วงเศรษฐกิจผันผวน และ ได้ประโยชน์จากผลตอบแทนพันธบัตรกำลังผ่านจุดสูงสุด , การเติบโตระยะยาวที่น่าสนใจจากการเป็น Flagship ด้านสาธารณูปโภคของเครือ PTT และ มีการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน - แบตเตอรี่

.

อีกทั้ง ผลประกอบการไตรมาส 4/65 และ Reliability ของโรงไฟฟ้าอาจสร้างความผิดหวังให้ตลาด , ประมาณการปี 65 เกิด Downside risk , Upside gain เริ่มไม่จูงใจเทียบกับราคาเหมาะสม 82.00 บาท จากเหตุผลข้างต้นมองว่า หุ้นมีความเสี่ยงผันผวนระยะสั้น จึงปรับลดคำแนะนำเป็น TRADING จากเดิมซื้อ โดยเชิงกลยุทธ์อาจพิจารณาทำกำไรเพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้งหลังรายงานผลประกอบการวันที่ 10 ก.พ.66

.

.

*** ลุ้น Q1/66 ผลงานฟื้นตัว รับปรับค่า Ft

.

บริษัท หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แม้คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 4/65 ของ GPSC จะพลิกมาขาดทุน อยู่ที่ 451 ล้านบาท แม้จะรับรู้ค่า Ft 93.43 สตางค์ เต็มไตรมาส แต่คาดว่าต้นทุนก๊าซธรรมชาติของ GPSC ปรับขึ้นราว 5% qoq เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติตามสัญญาของกลุ่ม SPP ที่มี lag time และ ต้นทุนถ่านหินที่คาดว่า จะปรับขึ้นราว 20% qoq ประกอบกับ ค่าใช้จ่ายในการขายและ บริหารที่สูงขึ้นเป็นปกติ

.

นอกจากนี้ ปริมาณการขายให้กับลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมลดลงราว 10% qoq เนื่องจากลูกค้าอุตสาหกรรมมีการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน และ รายได้จากโครงการ XPCL ที่ลดลงจากการเข้าสู่ช่วง low season ของการผลิต

.

อย่างไรก็ตาม คาดไตรมาส 1/66 ผลการดำเนินงานฟื้นตัว qoq เนื่องจากการปรับขึ้นค่า Ft สำหรับงวด ม.ค.-เม.ย. 66 มาอยู่ที่ 154.92 สตางค์ ประกอบกับ ราคาก๊าซธรรมชาติที่มีความผ่อนคลายมากขึ้น

.

.

*** จับตา OR พลิกขาดทุน Q4/65

.

บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ฝ่ายวิจัยมอง Negative ต่อแนวโน้มขาดทุนสุทธิไตรมาส 4/65 ของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่ขาดทุนอยู่ที่ 809 ล้านบาท พลิกขาดทุนทั้ง yoy และ qoq ต่ำกว่าที่เคยประเมิน เนื่องจากกำไรขั้นต้นต่อลิตรของธุรกิจ Mobility ถูกกระทบจากต้องนำเข้าน้ำมันที่ต้นทุนสูงกว่าการซื้อในประเทศมาขายในช่วงที่ supply ในประเทศขาดแคลนจากการปิดซ่อมโรงกลั่น ซึ่งสาเหตุดังกล่าวเป็นตัวฉุดผลประกอบการทั้ง yoy และ qoq เช่นกัน

.

ทั้งนี้ คาดผลกระทบดังกล่าวจะจบในไตรมาส 4/65 ส่งให้อัตรากำไรฟื้นในไตรมาส 1/66 และ กลับมาพลิกทำกำไรได้ ซึ่งได้ปรับประมาณการกำไรปกติ 65-66 ลง -18% และ -13% ตามลำดับ และปรับราคาเป้าหมายปี 66 เป็น 26.0 บาท/หุ้น จากเดิม 29.0 บาท/หุ้น แต่คงคำแนะนำ Trading Buy โดยรอผ่านช่วงประกาศงบฯ ไตรมาส 4/65 ไปก่อน จึงเป็นโอกาสซื้อเก็งกำไรการฟื้นตัวของธุรกิจทุกส่วนในปี 66

.

นายณัชพล แพรสีเจริญ นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการปี 65 ลง 14% เป็น 11,109 ล้านบาท (+1% YoY) จากการปรับสมมติฐานค่าการตลาดน้ำมันในปี 65 ลงเป็น 1.00 บาท/ลิตร (จากเดิม 1.15 บาท/ลิตร) เพื่อสะท้อนค่าการตลาดน้ำมันที่อ่อนแอในช่วงไตรมาส 4/65

.

และปรับประมาณการปี 66 ลง 9% เป็น 11,413 ล้านบาท (+3% YoY) จากการปรับสมมติฐานค่าการตลาดน้ำมันรวมลงเป็น 1.00 บาท/ลิตร (จากเดิม 1.05 บาท/ลิตร) เพื่อให้มีความอนุรักษ์นิยมมากขึ้น โดยคาดกำไรปกติสามารถเติบโตเล็กน้อย YoY จากปริมาณขายน้ำมันและปริมาณขายของ Café Amazon ที่เติบโตต่อ เนื่องหลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศฟื้นตัว

.

.

*** Q1/66 กำไรชะลอ -หั่นราคาเหมาะสม

.

สำหรับกำไรปกติไตรมาส 1/66 มีแนวโน้มลดลง YoY จากฐานที่สูงในปีก่อน เนื่องจากค่าการตลาดที่มีแนวโน้มลดลง YoY (ไม่มี Stock Gain ที่สูงเหมือนในไตรมาส 1/65) อย่างไรก็ตาม คาดกำไรปกติสามารถฟื้นตัวได้ QoQ จากฐานที่ต่ำ เนื่องจากปริมาณขายน้ำมันมีโอกาสทรงตัวอยู่ในระดับสูงจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และค่าการตลาดน้ำมันฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับ 0.70-1.00 บาท/ลิตร หลังโรงกลั่นน้ำมันในประเทศกลับมาดำเนินงานตามปกติ และทำให้ภาวะอุปทานตึงตัวเริ่มคลี่คลาย (ต้นทุนน้ำมันลดลง)

.

อย่างไรก็ตาม ผลจากการปรับประมาณการส่งผลให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 66 ลดลงเป็น 25 บาท/หุ้น มีอัพไซด์ 8.7% ในระยะสั้นราคาหุ้นมีโอกาสถูกกดดันจากแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/65 ที่อ่อนแอ รวมถึงยังขาดปัจจัยบวกในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า คงคำแนะนำ "TRADING"

.

**********************************

 


Forest