ตี๋โบ๊โผล่หัวคุย

ยามเย็นที่เขื่อนอุบลรัตน์

Morning Routine 05.09.2019

Negative Bond Yield ทำความเข้าใจมันให้มากขึ้น

ตลาดหุ้นเมื่อวันพุธที่ผ่านมาสดใสมากเลยทีเดียว ได้รับข่าวดีจากทางฮ่องกง ที่คุณแคร์รี่ ลัม ได้ออกมาประกาศยกเลิกกฎหมายส่งตัวผู้ต้องหาข้ามแดน ส่งผลให้ความตึงเครียดในฮ่องกงน่าจะลดลงไปพอสมควร ส่งผลให้ตลาดหุ้นฮั่งเส็งปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เกือบ 1,000 จุด ตลาดหุ้นยุโรปและอเมริกาก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีเช่นกัน ในประเทศจีนมีเรื่องที่น่าสนใจอยู่เรื่องนึงคือเรื่องราคาเนื้อสุกร ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปัญหาเนื้อหมูคาดแคลน 10 วันที่ผ่านมา ราคาเนื้อสุกรปรับตัวเพิ่มขึ้นไปกว่า 10% ทำให้หุ้นที่เกี่ยวกับเนื้อหมูในจีนปรับตัวเพิ่มขึ้อย่างต่อเนื่อง อย่างหุ้น Jiangsu Lihua Animal Husbandry ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 20% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา มาที่เรื่อง Brexit กันบ้าง ดูท่าจะยืดยาวต่อไป จะยุบสภาเลือกตั้งใหม่ก็ยาก การจะออกจาก EU แบบ No Deal ก็จะยากขึ้นแล้ว

วันนี้เอาเรื่องพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนติดลบมาเล่าให้ฟังกัน ว่าทำไมมันติดลบ ติดลบแล้วทำไมถึงยังมีคนซื้ออีก และสถานการณ์ของพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนติดลบ โดยเฉพาะในเยอรมนีเป็นอย่างไร

⛳️Negative Bond Yield ทำความเข้าใจมันให้มากขึ้น

เร่เข้ามา เร่เข้ามา พันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีสุดแพง ผลตอบแทนติดลบกันครบทุกช่วงอายุพันธบัตรแล้ว แล้วผลตอบแทนติดลบแบบนี้ ทำไมยังมีคนซื้ออีกละ

ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจกับคำว่า “พันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนติดลบ” ก่อน

พันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนติดลบ ไม่ใช่พันธบัตรที่เราซื้อแล้วต้องเอาดอกเบี้ยไปจ่ายให้กับผู้ออกพันธบัตรนะ แต่มันคือพันธบัตรที่มีราคาแพงมาก มันเป็นราคาที่เราซื้อมา พอเอาไปเปรียบเทียบกับดอกเบี้ยที่ผู้ถือจะได้ในอายุที่เหลือของพันธบัตรรวมกับเงินต้นที่เราจะได้รับตอนครบกำหนด ปรากฏว่า “เงินที่เราจ่ายไปมันมากกว่ากระแสเงินที่จะได้มาทั้งหมดในอนาคต” ยกตัวอย่างเช่น พันธบัตรมีราคาหน้าตั๋ว 10,000 บาท แต่ซื้อพันธบัตรมาราคา 14,000 บาท พันธบัตรอายุคงเหลือ 5 ปี ได้ดอกเบี้ยปีละ 500 บาท เท่ากับจะได้ดอกเบี้ยทั้งหมด 2,500 บาท รวมกับเงินต้นที่จะได้รับตอนครบกำหนดอีก 10,000 บาท เบ็ดเสร็จได้เงินทั้งหมด 12,500 บาท แต่เราลงทุนในพันธบัตรนี้ไป 14,000 บาท เท่ากับว่าเราขาดทุน 1,500 บาท นี่แหละคือที่มาของคำว่าพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนติดลบ

มาที่คำถามที่ว่า ซื้อแล้วได้ผลตอบแทนติดลบแล้วจะซื้อไปทำอะไร

กลุ่มแรกที่ซื้อพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนติดลบ อาจจะเป็นเพราะว่าเขาจำเป็นต้องซื้อ ไม่สามารถไปซื้อพันธบัตรอื่นได้ เช่นกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และธนาคารกลางต่างๆ ในยุโรป

อีกกลุ่มนึงคือกลุ่มนักลงทุนที่มองว่า การลงทุนในพันธบัตรแบบนี้ ยังดีกว่าถือเงินสด ผู้อ่านก็คงจะงงว่า ถ้ามันให้ผลตอบแทนติดลบ ถือเงินสดยังดีกว่า แต่ว่านักลงทุนเหล่านี้ไม่ได้กะว่าจะถือจนครบกำหนดไถ่ถอนหรอก เขาลงทุนเพื่อกะไปขายต่อเพื่อทำกำไรในด้านส่วนต่างของราคา หรือเรียกง่ายๆ ว่ากลุ่มนักเก็งกำไรนั่นเอง

หลักๆ ก็น่าจะประมาณนี้ กลับมาที่พันธบัตรเยอรมัน จากสถิติพบว่า มูลค่ารวมของพันธบัตรเยอรมันลดลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2014 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่ารัฐบาลเยอรมนีค่อนข้างที่จะอนุรักษ์นิยม ไม่ค่อยยอมทำงบประมาณขาดดุล จึงทำให้มีการออกพันธบัตรออกมาน้อย มาที่ปริมาณพันธบัตรที่ซื้อขายได้ในตลาด ก็ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว มีการคาดการณ์ว่า ปริมาณพันธบัตรเยอรมันจะลดลงต่ำว่า 70,000 ล้านยูโรในปี 2024 จากปริมาณที่มากกว่า 600,000 ล้านยูโรในปี 2014 ที่ผ่านมา

มันมีหลายปัจจัยที่ทำให้ปริมาณพันธบัตรเยอรมันในตลาดปรับตัวลดลง อย่างเช่นสถาบันการเงินในยุโรป ตั้งแต่วิกฤตทางการเงินในปี 2008 ต้องถือพันธบัตรในจำนวนที่มากเพื่อให้เข้าเกณฑ์ที่ถูกกำหนดมาให้ต้องถือ และทางธนาคารของเยอรมนีเองก็ต้องซื้อ ปัจจุบัน ธนาคารกลางเยอรมันถือพันธบัตรมากกว่า 350,000 ล้านยูโร ซึ่งเป็นผลมาจากโครงการ QE ของ ECB หรือธนาคารกลางแห่งยุโรป

มีการคาดการณ์จากตลาด ว่า ECB อาจจะขุดโปรแกรม QE ขึ้นมาทำอีกครั้งในอนาคตอันใกล้ ซึ่งถ้าทำจริง ก็จะทำให้พันธบัตรรัฐบาลเยอรมนียิ่งขาดแคลนเข้าไปใหญ่ ปัจจุบัน รัฐบาลเยอรมนีอยู่ภายใต้แรงกดดันทางด้านเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งอาจจะส่งผลให้ทางรัฐบาลต้องออกพันธบัตรเพิ่มขึ้นในอนาคตเพื่อมาสนับสนุนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ก็อาจจะทำให้สภาพคล่องของพันธบัตรเยอรมันปรับตัวสูงขึ้นได้

ดูๆ แล้ว พันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีที่ให้ผลตอบแทนติดลบ กลับเป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งในแง่ของกฎระเบียบ รวมไปถึงความมั่นคงในระดับสูง จึงทำให้สภาพคล่องของพันธบัตรปรับตัวลดลงไปเรื่อย ๆ เพราะคนที่ซื้อ ซื้อแล้วถือยาว สภาพคล่องจะหายจากตลาดไปเลย แต่ต่อให้ดียังไงก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ถ้าดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น (เป็นไปได้ยากมาก ณ ตอนนี้) จะทำให้ผู้ที่ถือพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนติดลบขาดทุนทันทีจากส่วนต่างของราคา

**6 เดือนที่ผ่านมา ราคาของพันธบัตรเยอรมนีอายุ 10 ปีแบบไม่จ่ายดอกเบี้ยหรือ Zero Coupon Bond ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.58% อายุ 20 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 21.6% อายุ 30 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 37.1% **

????ตลาดหุ้นอเมริกาปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปัจจัยบวกในเรื่องฮ่องกง

ตลาดหุ้นอเมริกาปรับตัวสูงขึ้นจากปัจจัยที่ทางฮ่องกงออกมาประกาศยกเลิกกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน Dow Jones +0.9% S&P500 +1.1% Nasdaq 100 +1.44% กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นคือกลุ่มผู้ผลิตเซริคอนดักเตอร์ กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มน้ำมัน

สำหรับหุ้นที่ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นในดัชนี Dow Jones คือหุ้นผู้ผลิต Chip อย่าง Intel ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 4%

สำหรับสถานการณ์ล่าสุดของ Inverted Yield Curve ตอนนี้ก็ไม่ Inverted แล้ว พันธบัตร 10 ปีกลับมาให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตร 2 ปีเรียบร้อย 2 ปี อยู่ที่ 1.442% และ 10 ปีอยู่ที่ 1.472% ส่งผลให้หุ้นธนาคารปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน หุ้นธนาคารอย่าง Bank of America, Citigroup และ JP Morgan ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้กว่า 1%

ทางด้านตัวเลข PMI ภาคบริการของจีนปรับตัวดีขึ้น อยู่ที่ 52.1 สูงสุดในรอบ 3 เดือน และดีกว่าที่คาดไว้ที่ 51.7

ราคาเนื้อสุกรในประเทศจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 10.7% ในช่วง 10 วันที่ผ่านมา

ทางด้านตลาดหุ้น Hang Seng หลังจากที่คุณแคร์รี่ ลัม ได้ประกาศยกเลิกกฎหมายส่งตัวผู้ต้องหาข้ามแดน ดัชนีก็ปรับตัวสูงขึ้นเกือบ 1,000 จุด หุ้นที่ให้บริการรถไฟใต้ดินปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 6.4% หุ้นสายการบิน Carthay Pacific ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.2%

หุ้นจีนแผ่นดินใหญ่หรือ A-Share ก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน CSI300 +0.84% ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

⛳️Brexit ยังยืดเยื้อต่อไป

โอกาสที่ UK จะออกจาก EU แบบ No Deal มีความเป็นไปได้น้อยลงมาก หลังจากที่รัฐสภาของอังกฤษโหวตสวนทางกับความต้องการของนายกฯ บอริส จอห์นสัน ที่มีท่าทีต้องการจะเลือกตั้งใหม่ และเป็นการป้องการการออกแบบ No Deal ท่าทีของผู้นำฝ่ายค้าน คุณเจเรอมี คอร์บิน ก็ไม่สนับสนุนการเลือกตั้งใหม่จนกว่าจะเลื่อนเส้นตายออกไป ส่งผลให้ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นมาอยู่ในระดับ 1.2252 ดอลลาร์ต่อปอนด์

????ราคาทองคำทรงตัวในระดับสูงต่อไป

ราคาทองคำวิ่งอยู่ในกรอบ 1,545 - 1,560 เหรียญ สามารถยืนอยู่ในระดับที่สูงกว่า 1,550 เหรียญได้อย่างต่อเนื่องถึงแม้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะได้รับข่าวดีจากทางฮ่องกง ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงเล็กน้อย

????ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชีย

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 1% +16.39 จุด หุ้นในกลุ่มค้าปลีก และพลังงาน ทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น แต่หุ้นในกลุ่มธนาคารยังปรับตัวลดลงอยู่ รวมไปถึงหุ้นเชิงรับอย่างหุ้นโรงไฟฟ้าบางตัวที่ก่อนหน้านี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นก็มีการถูกขายทำกำไรกันออกมาบ้าง นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 880 ล้านบาท

ดัชนีกลุ่ม Property Fund & REITs มีการปรับตัวลงมาเล็กน้อย ปิดที่ 254.78 จุด ปรับตัวลดลง 0.26%

#SCBSResearch