ห้องเม่าปีกเหล็ก

[ตอนที่ 3] บทความแปลหนังสือ by cmFX ” Price Pattern : Martin Pring on Price Patterns”

โดย rojer-cmfx
เผยแพร่ :
65 views

-------------------------------------------------------

บทความตอนที่ผ่านๆ มาอ่านได้จาก : www.chiangmaifx.com/component/content/article/93-article-by-cmfx/808-price-patterns.html

www.facebook.com/275391639215535/photos/pcb.1603468543074498/1603467323074620/?type=3&theater

-------------------------------------------------------

 

  1. เส้นแนวโน้มและเส้นค่าเฉลี่ยที่แสดง Dynamic Levels ของแนวรับ/แนวต้าน

เส้นแนวโน้มที่ดีควรสะท้อนถึงแนวโน้มอ้างอิงว่าราคาจะไปในทิศทางใดกันแน่ และหนึ่งในเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินทิศทางนั้นก็คือจำนวนครั้งที่ราคาแตะกับเส้นแนวโน้มที่ยิ่งแตะมากเท่าไหร่ก็ยิ่งบอกแนวโน้มได้มากขึ้นเท่านั้น นักลงทุนสามารถตีความได้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ราคาร่วงกลับลงไปที่ราคาต่ำสุดใดหลายๆ ครั้ง ราคานั้นจะเป็นแนวรับที่ค่อนข้างแข็งแกร่งเสมอ เส้นแนวโน้มและเส้นค่าเฉลี่ย (MA) มี dynamic level ของแนวรับในทุกครั้งที่ราคาถอยกลับไปแตะที่บนเส้นแนวโน้มขาขึ้นหรือเส้นค่าเฉลี่ย MA ที่กำลังขึ้นแล้วเด้งขึ้น ลักษณะแบบนี้จะตรงกันข้ามกับเส้นแนวโน้มขาลงหรือเส้นค่าเฉลี่ย ซึ่งก็ดูสมเหตุลมผลดีถ้านักลงทุนจะเข้าซื้อเมื่อราคาร่วงลงไปแตะที่เส้นแนวโน้มขาขึ้น (หรือ MA ที่กำลังขึ้น) และขายเมื่อราคาขึ้นไปชนด้านล่างของเส้นแนวโน้ม (หรือ MA ขาขึ้น) แต่ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเขาก็สามารถกำหนดจุดตัดขาดทุน stop loss ที่ความเสี่ยงต่ำให้อยู่เหนือเส้นแนวโน้มหรือเส้น MA ในกรณีราคาหลุดเข้ามาถึงเขตแนวรับ/แนวต้านได้เสมอ

 

Chart 3-2 เป็นข้อมูลราคาของ Hewlett-Packard ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีมากของเส้นแนวโน้มขาลงที่ทำหน้าที่เป็นแนวต้าน รวมถึงความสัมพันธ์กับ MA จากกราฟจะเห็นว่าเส้น MA 200 วันในกราฟจะเป็นตัวเสริมแนวต้านให้แข็งแกร่งขึ้นโดยมันจะทำงานเหมือนกับบ้านที่มีหลังคาหนาสองเท่าคอยค้ำอยู่ เมื่อไหร่ก็ตามที่เส้นแนวโน้มและเส้นค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับเดียวกัน ระดับราคานี้เป็นแนวต้านที่แข็งแกร่งขึ้นเป็นสองเท่า (หรือแนวรับแข็งแกร่งในกรณีเส้นแนวโน้มขาขึ้นและเส้นค่าเฉลี่ยตัดกัน)

  

  1. Emotional Points บนกราฟที่แสดงแนวรับ/แนวต้าน

แนวคิดนี้จะกล่าวถึงอย่างละเอียดในบทต่อไปในกรณีที่เราพิจารณา gaps, extreme points of Pinocchio bars, two-bar reversals, key reversals เป็นต้น แต่ในหัวข้อนี้เราจะพูดถึงแต่เพียงว่า emotional points ส่วนใหญ่เป็นราคาที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งและต่อเนื่อง ถ้าดูในกราฟจะเห็นการกลับทิศทางที่ปุบปับของราคา

gaps เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของ emotional point ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ซื้อหรือผู้ขายตอบสนองต่อข่าวต่างๆ ด้วยอารมณ์ จนกราฟเห็นเป็นราคากระโดดขึ้น/ลงกะทันหันหรือมี gaps ราคาเกิดขึ้น  

 

 

ใน Chart 3-3 จะเห็นว่าจู่ๆ อาจมีข่าวร้ายที่คาดไม่ถึงทำให้ราคาน้ำตาลมี gap ขาลงถึง 3 ช่วง  แต่เมื่ออารมณ์ของตลาดกลับสู่ภาวะนิ่งแล้ว นักลงทุนก็จะเริ่มไล่ราคาขึ้นเพื่อ  "ปิด"  แต่ละ gap  ในกรณีของ gap ทางซ้าย แนวต้านจะอยู่ที่การเปิด gap ส่วนที่เหลือ แนวต้านจะอยู่ที่ราคาต่ำสุดของ gap  โดยสรุปจะเห็นได้ว่า gaps ก็เป็นตัวชี้วัดทางเทคนิคอย่างหนึ่งที่เชื่อถือได้มากที่สุดในแง่ของการหาแนวรับ/แนวต้านที่เป็นไปได้

 

 

Chart 3-4 ของ  Boeing  ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของ emotional point  เราจะเห็นว่าในช่วงต้นปี 2002 จุดต่ำสุดของแท่งกราฟจะกว้างมากแล้วลากลงมาแตะที่ระดับราคาต่ำสุดเป็นตัวเลขกลมๆที่ $ 50 ซึ่งโดยปกติราคาที่ร่วงลงมาถึงระดับนี้จะเป็นแนวต้านในรอบถัดไป แต่ก็ไม่เสมอไปหรอก เพราะเมื่อถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วงในปีเดียวกัน ราคาต่ำสุดใหม่กลับร่วงทะลุผ่านแนวต้านนี้ลงไปอีก แล้วกลายเป็น pivotal point ให้นักลงทุนไล่ราคากลับขึ้นใหม่  ดังนั้นจะเห็นได้ว่าถึงมันจะเป็นแนวรับ/แนวต้านตาม แต่ก็ยังอาจเป็น pivotal point สำหรับการทำราคาในรอบต่อไปได้เสมอ

------จบบทความแปล Price Pattern ตอนที่ 3, www.chiangmaiFX.com------


rojer-cmfx