2 หุ้นโรงกลั่นงบไตรมาส 2 ดิ่งหนัก
BCP มีกำไรเพียง 458 ล้านบาท
TOP เหลือกำไร 1.17 พันล้านบาท

.
2 หุ้นโรงกลั่นประกาศงบไตรมาส 2/66 โดย BCP มีกำไร 458 ล้านบาท ลดลง 91% หลังราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ที่ปรับลดลง ส่วน TOP มีกำไรสุทธิ 1.17 พันล้านบาท ลดลง 95.58% มีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 1.92 พันล้านบาท แถมไม่มีกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุน GPSC เหมือนไตรมาส 2/65
.
[ BCP กำไรเพียง 458 ล้านบาท ]
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/66 มีกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 458 ล้านบาท ลดลง 83% จากไตรมาสแรก และลดลง 91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.24 บาท
.
ทั้งนี้บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 68,023 ล้านบาท ลดลง 15% จากไตรมาสแรก และลดลง 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA 6,628 ล้านบาท ลดลง 40% จากไตรมาสแรก และลดลง 47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
โดยในไตรมาสนี้กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันได้รับปัจจัยกดดันจากราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ที่ปรับลดลงต่อเนื่อง จากอุปสงค์ทั่วโลกถูกกดดันภายใต้เศรษฐกิจอ่อนแอจากภาวะเงินเฟ้อ ประกอบกับอุปสงค์ในจีน ยังคงอ่อนแอ และมีอุปทานส่วนเกินล้นตลาด
.
ทั้งนี้ส่งผลให้กลุ่มบริษัทบางจาก มี Inventory Loss 1,036 ล้านบาท ประกอบกับปริมาณการจำหน่ายที่ลดลงของธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากในไตรมาส 1/2566 มีปริมาณการจำหน่ายมากกว่ากำลังการผลิตตามสัญญาอย่างมีนัยสำคัญ (Overlift)
.
อย่างไรก็ดี กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในประเทศ สปป. ลาว ได้เริ่มดำเนินการผลิตและ จำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ไปยังประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามตามสัญญาซื้อขายไฟกับ EVN ในเดือนมิ.ย. 66 หลังจากหยุดการผลิตในไตรมาส 1/2566
.
[ TOP ไตรมาส 2 เหลือกำไร 1.17 พันล้านบาท ]
ส่วนบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 มีกำไรสุทธิ 1.17 พันล้านบาท ลดลง 2.42 หมื่นล้านบาท หรือลดลง 95.58% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้การขายที่ 108,467 ล้านบาท ลดลง 3.54 หมื่นล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันลดลงถึง 19.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
.
สำหรับสาเหตุหลัก มาจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะส่วนต่างราคาน้ำมันอากาศยาน/น้ำมันก๊าซและน้ำมันดีเซลหลังอุปทานน้ำมันรัสเซียยังคงซื้อขายในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาดมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ลดลง
.
อย่างไรก็ตาม ส่วนต่างราคายางมะตอยกับน้ำมันเตาปรับตัวสูงขึ้นจากอุปสงค์ในภูมิภาคที่ดีขึ้น อีกทั้งส่วนต่างราคาสารพาราไซลีนและเบนซีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ปรับเพิ่มขึ้นหลังเศรษฐกิจคลายความกังวลจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน
.
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงส่งผลให้มีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 1.92 พันล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 7.55 พันล้านบาท
.
นอกจากนี้มีรายการสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปลดลง 244 ล้านบาท จากไตรมาส 2/65 เมื่อรวมกับผลกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงสุทธิ (รวมเฉพาะรายการที่เกิดจากการป้องกันความเสี่ยงราคาสินค้าโภคภัณฑ์)
.
ส่งผลให้บริษัทมี EBITDA จำนวน 4,618 ล้านบท ลดลง 1.77 หมื่นล้านบาทจากไตรมาส 2/65 โดยในไตรมาส 2/66 บริษัทมีผลขาดทุนจากเครื่องมือทางการเงิน ซึ่งขาดทุนลดลงจำนวน 2.19 พันล้านบาท จากไตรมาส 2/65 และมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิลดลง 300 ล้านบาท
.
อย่างไรก็ตามในไตรมาส 2/65 บริษัทมีกำไรจากการจัดประเภทเงินลงทุนและจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC จำนวน 1.73 หมื่นล้านบาท (ก่อนภาษี) หรือคิดเป็น 1.28 หมื่นล้านบาท (หลังภาษี) เมื่อหักค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงิน และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้