ห้องเม่าปีกเหล็ก

เกาะสถานการณ์ 3 หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กฯ

โดย บุปผาวดี
เผยแพร่ :
118 views

เกาะสถานการณ์ 3 หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กฯ

DELTA นำทัพราคาหุ้นแพง…แต่กำไรยังโตไม่หยุด

.

หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็น DELTA, KCE และHANA ล่าสุดรายงานกำไรไตรมาส 3/2565 ออกมาเติบโตอย่างโดดเด่น โดย DELTA มีกำไรสุทธิ 4,110 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 243.5% ตามด้วย KCE มีกำไรสุทธิ 655.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.47% แต่มีเพียง HANA เท่านั้น ที่มีกำไรสุทธิ 416 ล้านบาท ลดลง 26% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสูงขึ้นในไตรมาส 3/65

.

ทั้งนี้จึงเกิดคำถามว่าแนวโน้มผลประกอบการงวดไตรมาส 4/65 และในอนาคตของทั้ง 3 บริษัทจะมีทิศทางเป็นอย่างไร? เริ่มจาก DELTA มุมมองของบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า คาดกำไรปกติไตรมาส 4/65 ที่ 3,356 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 14% จากไตรมาสก่อน โดยคาดยอดขายยังเพิ่มขึ้น 34%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และทรงตัวจากไตรมาสก่อน ส่วน GPM คาดที่ 22% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อน

.

ขณะที่สถานการณ์ปัจจุบัน กลุ่มรถยนต์ในสหรัฐ ยุโรป จีนคาดคำสั่งซื้ออ่อนตัวเนื่องจากกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว ส่วน Data center น่าจะเป็นการซื้อในกลุ่มสินค้ามาตรฐานที่มีมาร์จิ้นน้อย ขณะที่การเพิ่มของค่าแรงอาจทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ส่วน SG&A คาดว่าเพิ่มจากไตรมาสก่อน ตามฤดูกาลที่มีการปรับปรุงค่าใช้จ่ายตามค่าเงินบาทที่อ่อนค่า

.

ทั้งนี้ลดคำแนะนำเป็น Reduce จากเดิม Trading Buy ให้ราคาเป้าหมาย 580 บาท เพราะเทรดที่พีอีปี 66 ที่ 58 เท่า นับว่าแพงเกินไป อย่างไรก็ตามกำไรสุทธิในไตรมาส 3/65 สูงกว่าคาด และยังมีแนวโน้มชะลอตัวไม่มากในไตรมาส 4/65 จึงปรับประมาณการปี 65 ขึ้นจากเดิม 10% ปัจจัยหลักคือยอดขายที่สูงกว่าคาดและนำไปสู่ GPM ที่ยังค่อนข้างสูง

โดยประมาณการกำไรสุทธิใหม่ในปี 65 มาอยู่ที่ 14,699 ล้านบาท เติบโต 119% ส่วนปี 2566 อยู่ที่ 14,294 ล้านบาท ลดลง 4% ปัจจุบันความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัวและค่าแรงเพิ่มขึ้นทำให้กังวลประมาณการปี 2566 มีความ downside risk ดังนั้นจะกดดันให้ราคาหุ้น DELTA ไม่ควรเทรดที่พีอีที่สูงจนเกินไป

.

อย่างไรก็ตาม upside risk ของ DELTA อาจเกิดขึ้นจากการที่สหรัฐออกระเบียบการ ส่งออกใหม่ที่ห้ามส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และเครื่องจักรบางประเภทไปจีน คาดว่าจะเป็นผลบวกต่อการส่งออกของไทยและประเทศอื่นทดแทนการนำเข้าจากสหรัฐและใช้ไทยเป็นฐานการผลิตแทนจีน

.

ขณะที่ DELTA ยังคงเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานเด่นในระยะยาว 1.ลูกค้ากลุ่ม Data Center ยังดีต่อเนื่อง 2.ลูกค้ากลุ่ม EV car โต ปัจจุบันหลายประเทศมีแผนยกเลิกการผลิตรถเครื่องยนต์สันดาปและสนับสนุน EV car ในภาพรวม DELTA มีศักยภาพในการเติบโตด้วยจุดเด่นของสายการผลิตที่มีต้นทุนต่ำ ขณะที่มีฐานลูกค้าหลายกลุ่มทั้งกลุ่มรถยนต์ กลุ่มโทรคมนาคม และมีลูกค้าในหลายภูมิภาคทั้งยุโรป-สหรัฐ-เอเชีย

.

ถัดมา KCE มุมมองของนักวิเคราะห์บล.เอเซียพลัส มีความเห็นว่า แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 60.00 บาท โดยเบื้องต้น คาดกำไรปกติงวดไตรมาส 4/65 จะเติบโตทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน จากแนวโน้มรายได้รวมเติบโต และแนวโน้ม Gross margin งวดไตรมาส 4/65 ปรับสูงขึ้น ผลบวกจากต้นทุนวัตถุดิบบางชนิดปรับลดลงและแนวโน้มค่าเงินบาทเฉลี่ยอ่อนค่าลง

.

ทั้งนี้ประเมินกำไรสุทธิปี 2565 จะเติบโต 3% มาอยู่ที่ 2,496 ล้านบาท ขณะที่ปี 2566 จะเติบโต 26% มาอยู่ที่ 3,148 ล้านบาท จากแนวโน้มรายได้ รวมปี 2565-66 เติบโต 29% และ 12% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากการได้ลูกค้าใหม่และลูกค้าเก่าเพิ่มคำสั่งซื้อมากขึ้น

.

นอกจากนี้ ยังได้แจ้ง SET ว่าเตรียมสร้างโรงงานใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ กำลังการผลิต 1 ล้านตารางฟุตต่อเดือน ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตของ KCE ได้ถึง 31% จากปัจจุบัน ใช้เงินลงทุนราว 8.1 พันล้านบาท ดังนั้นจึงมองว่าราคาหุ้นปรับลดลงไปกว่า 46%นับจากต้นปีถึงปัจจุบัน และมีค่า PER ปี 2566 ที่ 17 เท่า และสามารถคาดหวัง Div. yield ได้ราว 4.4% จึงแนะนำหาจังหวะเข้าลงทุน

.

สุดท้าย HANA มุมมองของนักวิเคราะห์บล.เอเซียพลัส มีความเห็นว่า ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น ซื้อ (เดิม Switch) ปรับไปใช้ FV ปี 2566 เท่ากับ 52 บาท (เดิม FV ปี 2565 เท่ากับ 50 บาท) โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงถึง 52% ตั้งแต่ต้นปี 2565 สะท้อนความกังวลต่างๆ อาทิ ปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนและเศรษฐกิจโลกชะลอตัวไปมากแล้ว จนล่าสุดมีค่า PER ปี 2566 ที่ 12 เท่า และ PBV ปี 2566 ที่ 1.4 เท่า นอกจากนี้ HANA ยังประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลที่ 0.50 บาท คิดเป็น Div. yields สำหรับงวด 9 เดือนปี 65 ที่ 1.2% ขึ้น XD วันที่ 29 พ.ย. 65 และจ่ายปันผลวันที่ 14 ธ.ค. 65

.

ขณะที่เบื้องต้น คาดกำไรปกติงวดไตรมาส 4/65 จะอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อน (แต่เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน) เนื่องจากจากแนวโน้มรายได้รวมงวดไตรมาส 4/65 อ่อนตัวลงตามฤดูกาล ขณะที่แนวโน้ม gross margin งวดไตรมาส 4/65 จะทรงตัวใกล้เคียงงวดไตรมาส 3/65

.

ดังนั้นคาดกำไรสุทธิปี 2565 จะเติบโต 18.2% มาอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท ส่วนปี 2566 คาดเติบโต 46.8% มาอยู่ที่ 2.7 พันล้านบาท จากแนวโน้มรายได้รวมปี 2565-66 เติบโต 14.1% และ 9.7% ตามลำดับ เมื่อเทียบจากปีก่อน เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกทยอยฟื้นตัว และการทยอยได้ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น

 

 


บุปผาวดี