ห้องเม่าปีกเหล็ก

หวังงานประมูลใหม่ครึ่งปีหลัง ดันหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ

โดย poomai
เผยแพร่ :
62 views

หวังงานประมูลใหม่ครึ่งปีหลัง ดันหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ เติบโตฝ่าวิกฤติ

ในช่วงครึ่งแรกของปี 63 ผลงานหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างได้รับแรงกดดันจากโครงการที่ต้องชะลอการก่อสร้างและเลื่อนการประมูลโครงการใหม่ออกไป ทำให้กำไรสุทธิบางบริษัทออกมาต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 50% ปัจจุบันรัฐบาลทยอยปลดล็อคดาวน์ประเทศ ทำให้มีแนวโน้มที่จะเปิดประมูลโครงการใหม่ๆ มากขึ้น จึงนับเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้ผลงานของหุ้นรับเหมาฯ กลับมาสดใสอีกครั้ง วันนี้ Wealthy Thai จึงอยากนำข้อมูลของหุ้นเด่นในกลุ่มรับเหมาฯ ได้แก่ ITD, STEC, CK และ SEAFCO ในช่วงครึ่งหลังของปีมาให้แฟนเพจอ่านกันค่ะ

 

ITD คาดครึ่งปีหลังดีขึ้น แต่ยังเสี่ยงขาดทุนได้ทุกเมื่อ

 

 

เริ่มที่หุ้นตัวแรก บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ที่ผลประกอบการไตรมาส 2/63 ยังออกมาขาดทุนต่อเนื่องจากไตรมาส 1/63 โดยมีผลขาดทุนสุทธิ 155.98 ล้านบาท ขาดทุนลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 347.77 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีแรกบริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 486.66 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 362.01 ล้านบาท 

 

 

สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปี 63 บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังน่าจะทำได้ดีกว่าครึ่งปีแรกที่ต้องเผชิญกับหลายปัจจัยลบ แม้รายได้อาจยังไม่สมารถกลับเข้าสู่ระดับปกติที่ 1.5 หมื่นล้านบาทต่อไตรมาส เนื่องจากธุรกิจของบริษัทลูกในต่างประเทศทั้งอินเดีย บังคลาเทศ และอินโดนีเซีย ยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดอย่างหนักของ Covid-19 แต่งานในประเทศน่าจะรับรู้รายได้มากขึ้น จากงานใหม่ที่เซ็นสัญญาเข้ามาในปีนี้แล้วรวม 2 หมื่นล้านบาท ส่วนอัตรากำไรมีแนวโน้มดีขึ้นเช่นเดียวกัน เพราะเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้ Gross margin ต่ำกว่าปกติในช่วงครึ่งปีแรกเกิดจากค่าใช้จ่าย One time ในช่วงเก็บงานที่ส่งมอบจบอย่าง โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีเยว

 

 

อย่างไรก็ตามด้วยโครงสร้างต้นทุนของ ITD ที่มี Fix Cost ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสูง บวกกับดอกเบี้ยจ่ายที่สูงมาก ทำให้ ITD มีความเสี่ยงที่จะพลิกเป็นขาดทุนได้ทุกเมื่อ หากมีรายการพิเศษที่เป็นลบเข้ามา โดยเฉพาะการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยโครงการสำคัญที่สุดได้แก่ หนี้ค่าก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ที่ AOT ค้างชำระ 3,176.81 ล้านบาท จากข้อพิพาทเรื่องการส่งมอบงานล่าช้า ซึ่ง TD ยังไม่ได้มีการตั้งสำรองหนี้สูญไว้  

 

 

หวังได้งานประมูลใหม่หนุน - PBV ต่ำ 0.45 เท่า

 

 

แม้ฝ่ายวิจัยจะปรับลดประมาณการปี 2563-64 ของ ITD ลง เป็นขาดทุนสุทธิ 541 ล้านบาท และมีกำไร 52 ล้านบาท ตามลำดับ แต่ราคาหุ้นที่ซื่อขายบน PBV ที่ต่ำเพียง 0.45 เท่า น่าจะสะท้อนความคาดหวังที่มีค่อนข้างต่ำเกี่ยวกับการทำกำไรของ ITD ไปแล้ว แต่กระแสเชิงบวกที่จะกลับเข้าสู่หุ้นรับเหมาก่อสร้างอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลังจากการเดินหน้าเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐ ซึ่ง ITD จะได้รับประโยชน์ในฐานะบริษัทรับเหมาฯ ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงเป็นอันดับ 1

 


โดยมีหลายโครงการที่ ITD มีความหวังที่จะชนะประมู เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ รถไฟทางคู่เฟส 2 กับอีก 2 เส้นทางใหม่คือ เส้นเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และ เส้นนครพนม-บ้านไผ่ รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่บริษัทเป็นผู้รับเหมาหลักในงาน EPC (Engineering Procurement Construction) ที่คาดว่าจะได้รับการส่งมอบพื้นที่จากรฟท.ช่วงสิ้นปีนี้และจะเริ่มงานก่อสร้างได้ในปี 64 ทำให้ฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำซื้อ ประเมิน FV อิง Adjust PBV 0.8 เท่า โดยมีการหักส่วนของผู้ถือหุ้นออกอีกจำนวน 3,176.81 ล้านบาท สะท้อนความเสี่ยงจกการตั้งสำรองค่เผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่อาจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งหมดจากโครงการของ AO เพื่อความอนุรักษ์นิยม จะให้ราคาเหมาะสม 1.43 บาท

 

STEC คาดแบ็กล็อกกลับไปแสนล้านบาทภายในปีหน้า

             

บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ไตรมาส 2/63 มีกำไรสุทธิ 180.77 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 32.51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ครึ่งปีแรกบริษัทมีกำไรสุทธิ 390.28 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 36.14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

             

 

ส่วนแนวโน้มการเติบโตในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จํากัด (มหาชน) ระบุว่า ในปี 63 บริษัทตั้งเป้าหมายเซ็นงานใหม่ให้ได้ไม่น้อยกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท (ใกล้เคียงกับจำนวนที่รับรู้รายได้ไปในปีนี้) เพื่อรักษาระดับแบ็กล็อกให้ได้ในระดับเกือบๆ แสนล้านบาท ซึ่งหลังจากที่บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) ซึ่ง UTA เข้าทำสัญญากับสกพอ. เข้าทำสัญญาสนามบินอู่ตะเภาเสร็จแล้ว ในวันที่ 16 มิ.ย. 63 ซึ่ง STEC ถือหุ้น UTA อยู่ 20% มูลค่า 1.8 พันล้านบาท เบื้องต้นบริษัทจะได้รับงานก่อสร้างในเฟสแรก มูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านบาท หนุนให้ STEC จะได้แบ็กล็อกใหม่รวมทั้งหมดมากถึง 80% ของเป้าหมายในปีนี้แล้ว ดังนั้นจึงมองว่าแบ็กล็อกจะกลับไปอยู่ที่ประมาณแสนล้านบาทได้ในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า ซึ่งจะหนุนให้รายได้ของบริษัทเติบโตได้ต่อเนื่องในปีถัดไป

 

 

ทั้งนี้ประเมินว่ายังคงเห็นอัตรากำไรขั้นต้นที่หดตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2/63 อัตรากำไรขั้นต้นลงเหลือ 3.2% จาก 4.1% ในไตรมาส 1/63 ผิดจากที่คาดว่าจะเห็นมาร์จิ้นที่ bottom ในไตรมาส 1/63 เมื่อพิจารณาจากต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง ประกอบกับแนวโน้มของงานที่คงเหลือในแบ็กล็อกซึ่งยังคงเป็นงานเดิมที่จะรับรู้รายได้ในปี 63-65 ดังนั้นเราจึงปรับสมมุติฐานอัตรากำไรขั้นต้นลง จากเดิม 5.5% เป็น 4.1% ส่งผลให้ประมาณการกำไรปี 63-64 ปรับลง 31% เป็น 851 และ 942 ล้านบาท ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม สมมุติฐานอัตรากำไรขั้นต้น ยังคงมี downside เพราะใช้สมมุติฐานสูงกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในไตรมาส 2/63 ซึ่งเราเชื่อว่างานใหม่ที่จะเริ่มรับรู้ รายได้หลังจากนี้จะช่วยพยุงมาร์จิ้นได้

CK บริษัทลูกหนุนกำไรปี 63 ฟื้นตัวแรง

             

บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK มีกำไรสุทธิไตรมาส 2/63 ที่ 63.75 ล้านบาท ปรับตัวลดลงมากถึง 93.37% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ครึ่งปีแรกบริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 49.83 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 103.79% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1316.43 ล้านบาท

             

 

โดยบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จํากัด (มหาชน) ระบุว่า แม้ผู้บริหารยังไม่ได้มีการปรับเป้าหมายรายได้ปี 63 ลงอย่างเป็นทางการ แต่จาก Guidance การรับรู้รายได้ในแต่ละโครงการ เราประเมินว่ารายได้ทั้งปีมีแนวโน้มต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่ 2 หมื่นล้านบาท ราว 10-15% ดังนั้นจึงปรับประมาณการกำไรปี 63-64 ลง 21% เป็น 652 ล้านบาท จากการปรับสมมุติฐานรายได้ลงจากเดิม 2 หมื่นล้านบาท ลงเหลือ 1.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเพราะจำนวนแบ็กล็อกที่ปรับตัวลงมาอยู่เพียง 3.1 หมื่นล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 10 ปี เนื่องจากงานใหม่เข้ามาไม่ทัน อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีโครงการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์มูลค่า 4 พันล้านบาท ที่อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญา คาดว่าจะเซ็นสัญญาและนับรวมเข้าในแบ็กล็อกได้ภายในสิ้นปีนี้

 

 

ขณะเดียวกันคาดกำไรปีหน้าของ CK จะฟื้นตัวแรงเป็น 1,270 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 100% จากปีนี้ จากส่วนแบ่งกำไรของบริษัทร่วมฯ ไม่ว่าจะเป็น CKP ที่ consensus คาดการณ์ว่าจะเห็นกำไรที่เพิ่มขึ้นจากปีนี้ เพราะภาวะแล้งในครึ่งแรกของปี 63 ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกในปีหน้า นอกจากนี้ ยังมี BEM ที่เห็นแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยเดือน ก.ค. ที่ผ่านมาจจำนวนผู้ใช้บริการทางด่วนเฉลี่ยต่อวันกลับมาอยู่ที่ 1.1 ล้านเที่ยวต่อวัน หรือราว 92% ของตัวเลขในเดือน ก.ค. 62 และจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 2.5 แสนเที่ยวต่อวัน หรือราว 80% ของตัวเลขในเดือน ก.ค. 2019 ซึ่งเรามองว่าทิศทางการฟื้นตัวของจำนวนผู้ใช้บริการทางด่วนและรถไฟฟ้าดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าตัวเลขรายเดือนของทั้งสองธุรกิจน่าจะกลับมายืนเหนือกว่าระดับก่อนเกิดการระบาดของ COVID-19 ได้ภายในสิ้นปี 63

 

SEAFCO งานเสาเข็มล้น หนุนครึ่งปีหลังเติบโต

           

และหุ้นตัวสุดท้าย บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO มีกำไรสุทธิไตรมาส 2/63 ที่ 71.84 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนครึ่งแรกของปี 63 บริษัทมีกำไรสุทธิ 166.25 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 25.06% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

             

สำหรับแนวโน้มการเติบโตในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า SEAFCO กำลังติดตามงานเสาเข็มกว่า 4.9 พันล้านบาท (สัดส่วนงานรัฐ 45% และงานเอกชน 55%) โดยครึ่งปีหลังน่าจะคว้าเพิ่มขึ้น 1 พันล้านบาท หนุนด้วยงานเสาเข็มเจาะทั้งในประเทศและต่างประเทศ ล่าสุดส่งทีมบริหารไปเมียนมาทำให้มีการกักตัว 14 วัน ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ ปัจจุบัน SEAFCO มีแบ็กล็อกอยู่ที่ 2.16 พันล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลังราว 1.5-1.6 พันล้านบาท ช่วยสนับสนุนให้รายได้ปี 63 เติบโตเล็กน้อยจาก 3 พันล้านบาท ในปีก่อน ขณะที่ปัญหาคนงานไม่เพียงพอนั้น บริษัทพยายามเร่งแก้ไข โดยประกาศรับสมัครเพิ่มและให้ Agent สรรหาแรงงานต่างประเทศ 200 คน เข้ามาเพิ่ม

 


ทั้งนี้ SEAFCO ได้เริ่มงานฐานรากทางยกระดับดาวคะนอง-พระราม 3, ดาวคะนอง-สมุทรสาคร และบางใหญ่-กาญจนบุรี ประกอบกับการรื้อถอนโครงสร้างเดิมของโครงการ Dusit Central Park คืบหน้าไปมาก อีกทั้งโครงการศูนย์ราชการโซนซียังมีความต่อเนื่อง เบื้องต้นประเมินกำไรครึ่งปีหลังทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปี 64 คาดเติบโตสูง หลังงาน Mega Project เดินหน้าก่อสร้าง เช่น รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน, รถไฟไทย-จีน 

 

ราคาหุ้นทยอยฟื้นตัว

 

ทั้งนี้ราคาหุ้นของ SEAFCO พักฐานลง 10% ตอบรับความผิดหวังของกำไรไตรมาส 2/63 ไปมากแล้ว ถือเป็นจังหวะเข้าซื้อรอบใหม่ คาดปี 64 เติบโตต่อเนื่อง FV63 ที่ 7.40 บาท อิง PER 16X ปัจจุบันเหลือ Upside 28.70% และรับปันผลระหว่างกาล 0.04 บาท/หุ้น (XD 28 ส.ค.63)

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


poomai