ตีตอนร้อน!! 3 หุ้น ใหญ่กลุ่มเหล็ก กับทิศทางอนาคตที่สดใสจริงหรือ?
หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังถูกจับตามอง ณ ขณะนี้คงจะหนีไปพ้นหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กของไทย ที่สร้างกระแสฮือฮา ด้วยการที่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นยกแผง ชนิดที่เรียกได้ว่าไม่มีหุ้นเหล็กตัวไหนไม่เขียว โดยเฉพาะในวันที่ 26 เม.ย.64 โดยราคาหุ้นในกลุ่มเหล็กต่างทะยานปรับเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นที่ หุ้นบางตัวราคาปรับขึ้นไปแตะเพดานซิลลิ่ง โดยเฉพาะหุ้นใหญ่อย่างบริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH ที่ราคาพุ่งไปปิดตลาดที่ 1.89 บาทต่อหุ้น ขณะที่หุ้นใหญ่อย่าง บริษัท ทีเอ็มที สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ TMT ก็ไม่น้อยหน้าราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 20.39% ปิดตลาดที่ 12.40 บาท
สำหรับสาเหตุที่หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น มาจากการที่ราคาเหล็กในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด ระบุว่า ทิศทางของราคาเหล็กยังเป็นช่วงขาขึ้น จึงคาดว่าจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทเหล็กดีต่อเนื่องไปถึงช่วงไตรมาส 2/64
โดยล่าสุดเดือนเม.ย.ราคาเหล็กรีดร้อน (HRC) ในจีน ซึ่งเป็นตลาดที่มีการบริโภคเหล็กครึ่งหนึ่งของโลกยังมีทิศทางร้อนแรง เพราะราคาขายเพิ่มขึ้น 17% จากเดือนก่อน มาอยู่ที่ระดับ 865 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่เพียง 749 เหรียญสหรัฐต่อตัน จึงมีโอกาสที่จะได้เห็นแรงเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มเหล็ก อย่างไรก็ตามด้วยปัจจัยดังกล่าวจึงส่งผลให้ราคาหุ้นในกลุ่มเหล็กสะท้อนของการเก็งกำไรรับข่าวดีล่วงหน้าของผลประกอบการในอนาคตไปแล้ว
ขณะเดียวกันต่อเนื่องไปวันที่ 27 เม.ย.64 กลุ่มหุ้นอุตสาหกรรมเหล็กยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงเช้า แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายมีปัจจัยที่เข้ามากระทบ จากการที่เป็นเหล็กแข็งราคาวิ่งแรง จนกลายเป็นเหล็กไหล (ลง) ปิดตลาดราคาหุ้นรูดกันยกแผง หลังจากที่มีข่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพาณิชย์ เข้าไปดูแลปัญหาราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้น เพื่อลดกระทบต่อต้นทุนการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีเหล็กเป็นวัตถุดิบหลัก
แต่อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด มองว่าราคาหุ้นเหล็กทั้ง sector ที่ปรับลงเมื่อวาน ASPS ประเมินเป็นเพียง Sentiment ช่วงสั้น ยังแนะนำซื้อ TMT, MCS โดยราคาหุ้นใน Sector เหล็กเมื่อวานนี้ตอนเช้าปรับตัวขึ้นแรง แต่ช่วงเที่ยงถูก TakeProfit โดยปิดตลาด อาทิ TMT -0.8% TGPRO -7.5% CSP -5.1% MILL -13.8% TSTH+1.5% INOX -4.44% หลังจากนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพาณิชย์ เข้าไปดูแลปัญหาราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้น เพื่อลดกระทบต่อต้นทุนผู้ประกอบการที่มีเหล็กเป็นวัตถุดิบหลัก
โดยในอดีตราคาเหล็กเส้นของไทยเคยปรับตัวขึ้นไปสูงถึง 38 บาท/กก. ในปี 255 1 ซึ่งสูงกว่าราคาปัจจุบันที่อยู่บริเวณ 22-23 บาท/กก. มาก แต่เนื่องจากประเทศไทยไม่มีอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ จึงต้องมีการนำเข้าวัตถุดิบ ( Billet ,Slap, Scrap) จากต่างประเทศทั้งหมดมาแปรสภาพเป็นเหล็กเส้นและเหล็กแผ่น ในขณะนั้นกลไกที่ภาครัฐใช้ในการควบคุมราคาเหล็กประกอบไปด้วย 1. กลไกของกรมการค้าภายใน ผ่านการประกาศราคา 2. มาตรการช่วยเหลือผู้รับเหมาที่ได้รับผลกระทบ หลักๆคือ ผู้รับเหมาที่รับงานจากภาครัฐ ผ่านค่า
ดังนั้นโดยรวมราคาหุ้นเหล็กที่ปรับลงมา คำแนะนำ ASPS ยังเชื่อมั่นว่าประเด็นนี้น่าจะกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานจำกัด ยังให้น้ำหนักไปที่ ทิศทางราคาเหล็กโลกที่ยังเป็นช่วงขาขึ้นดัง โดยปัจจัยหนุนราคาทางพื้นฐานของอุตสาหกรรม ยังมีแรงหนุนจาก ฝั่งซัพพลายคือ สินแร่เหล็กต้นน้ำในออสเตรเลียที่ขาดแคลน
รวมถึงจีนต้องการลดคาร์บอนไดออกไซด์ในอุตสาหกรรมเหล็กลง 30% ให้สำเร็จภายในปี2568 (เร็วขึ้นจากแผนเดิม 5 ปี) ส่งผลให้โรงเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐานต้องปิดตัวลง ขณะที่ฝั่ง Demand เหล็กทั่วโลกฟื้นตัวกลับมาระดับสูง ขับเคลื่อนจากภาคการผลิตและภาคก่อสร้าง แต่ Supply เหล็กในจีน (Steel Consumption คิดเป็น 50% ของโลก) ไม่เพียงพอ ต่อความต้องการเพราะเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ทำให้ฝ่ายวิจัยคาดว่าราคาเหล็กยังมีทิศทางที่เป็น Upside Trend ได้ต่อเนื่องไปอีก 3 เดือนหน้าเป็นอย่างน้อย ขณะที่ผู้ผลิตเหล็กกลางน้ำในไทยปัจจุบันได้เร่งกำลังการผลิตขึ้นเป็น 50-60%จากเดิม 30% ในช่วงก่อนหน้า เพราะต้องการส่งออกสินค้าไปขายในตลาดต่างประเทศเช่น สหรัฐอเมริกาที่ปัจจุบันราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนอยู่ที่ราว 1,100 เหรียญสหรัฐต่อตัน เทียบกับราคาขายในประเทศที่ 900 เหรียญสหรัฐต่อตัน แม้จะปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี แต่ยังต่ำกว่าตลาดต่างประเทศถึงตันละ 200-300 เหรียญสหรัฐ
ในส่วนคำแนะนำลงทุนหุ้นที่ฝ่ายวิจัยทำการศึกษา แบ่งเป็น TMT ประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ 14.80 บาท โดยใช้ PER ใช้ 12 เท่า ราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมากลับมาเปิดอัพไซด์ราว 20% ยังคงคำแนะนำซื้อ เพราะประมาณการกำไรทั้งปี 2564 คาด 1,075 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.5% จากปีก่อนคาดมีโอกาสเป็นไปได้ โดยปัจจัยขับเคลื่อนจากราคาเหล็กโลกฟื้นตัวสูง หนุนราคาเหล็กเฉลี่ย TMT งวดไตรมาส1/64 พุ่งแรง 21.8% มาที่ 24.8 บาทต่อกิโลกรัม
ขณะที่ MCS ยังคงคำแนะนำซื้อ ประเมินมูลค่าเหมาะสม 21.9 บาท โดยลักษณะธุรกิจคล้ายบริษัทรับเหมาก่อสร้างมากกว่าเหล็ก โดยเหล็กเป็นต้นทุนหลักในการผลิต MCS ได้ป้องกันความเสี่ยงโดยซื้อเหล็กล่วงหน้าเมื่อเซ็นสัญญารับงาน โดยอัตรากำไรของ MCS จะขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของงานที่เข้าไปรับมากกว่าการเปลี่ยนแปลงราคาเหล็ก ซึ่งปีนี้จะส่งมอบงานมาร์จิ้นสูงที่เป็นงานที่ต้องใช้บริษัทที่ได้รับใบรับรองระดับ S grade (ใบรับรองระดับสูงสุดของญี่ปุ่น) ทั้งโครงการ Toranomon และ Azabudai, ซึ่งทำให้ราคาขายเฉลี่ยในงวดไตรมาส 1/64 ของ MCS สูงขึ้นมาที่ 3 แสนเยนต่อตัน จากราคาเฉลี่ยปี 63 ที่ 2.4 แสนเยนต่อตัน โดย ราคาหุ้น MCSปัจจุบันมีค่า PER ต่ำเพียง 7 เท่า
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองว่า ราคาขายเหล็กเส้นขนาด SD-40T 16มม. เดือน เม.ย.64 เพิ่มขึ้นเป็น 21,800 บาทต่อตัน เทียบกับ เดือน ม.ค. – มี.ค. 64 เฉลี่ย ประมาณ 20,500 บาทต่อตัน คาดจะหนุนผลประกอบการไตรมาส 1/64 ( เม.ย. – มิ.ย. 2564) ยังเด่น แต่จะต่ำกว่าไตรมาสก่อน
ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ ผู้บริหารTSTH ประเมินความต้องการเหล็กในตลาดปี 64 จะเติบโตมากกว่า 10% เพิ่มเป็น 18-19 ล้านตัน แรงหนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล จะเป็นปัจจัยบวกช่วยหนุนยอดขายของ TSTH ปี 2564/65 เติบโตต่อ
โดยเฉพาะสถานการณ์เหล็กจากจีนที่เข้ามาตีตลาดในไทยลดลงมาก จากความต้องการที่สูงในจีน หนุนราคาปรับตัวสูงขึ้น จากสถานการณ์ปัจจุบันราคาเหล็กที่ปรับเพิ่มขึ้น เราปรับประมาณการเพิ่มขึ้นอีก คาดกำไร ปี 64/65 (เม.ย. 2564 – มี.ค. 2565) เท่ากับ 806 ล้านบาท โต 28%
สำหรับคำแนะนำการลงทุน คำแนะนำการลงทุน เนื่องด้วยสถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กดีขึ้น หลังเหล็กจีนออกมาตีตลาดลดลงมาก จะหนุนผลประกอบการดีขึ้น จึงประเมินราคาเป้าหมาย โดยอิงกับมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นได้เท่ากับ 1.20 บาท เพิ่มจากเดิมที่ใช้ค่าเฉลี่ย 10 ปี Forward P/BV – 1SD = 0.65x ได้เท่า 0.75 บาท
ทั้งนี้ราคาหุ้นปัจจุบันพุ่งขึ้นจากต้นปีราคาหุ้นปรับเพิ่มมาแล้ว 69% มองว่าขึ้นมารับมากแล้ว และ มีอัพไซด์ไม่มาก เราลดเกรดคำแนะนำลงเป็น ถือ จาก TRADING BUY โดยสินค้าเหล็กในอดีตมีความผันผวนสูง และ เป็นอุตสาหกรรมที่มีกำลังการผลิตส่วนเกินมาก
ด้านนายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการอาวุโสและนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด มีมุมมองว่า ขณะนี้ไม่ควรที่จะเข้าไปไล่ราคาหุ้นกลุ่มเหล็กแล้ว ถึงแม้ว่าผลประกอบการในงวดครึ่งแรกของปี 64 จะออกมาอย่างแข็งแกร่งจากดีมานด์และราคาขายเหล็กที่สูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีความชัดเจนในภาพของระยะยาวว่าราคาเหล็กจะทรงตัวในระดับสูงแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน
ส่วนกรณีที่ภาครัฐจะเข้ามาควบคุมราคาเหล็กในประเทศนั้น มองว่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ เพราะประเทศไทยมีการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อนำมาผลิตเหล็กจากภายนอก ซึ่งเมื่อต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้นก็ส่งผลต่อราคาเหล็กในประเทศให้สูงขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ราคาหุ้นกลุ่มเหล็กหลายตัว โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคาเพิ่มขึ้นมาเท่ากับ P/BV แล้ว แต่หุ้นขนาดเล็กที่ราคายังต่ำก็มีการเก็งกำไรเพื่อให้เพิ่มขึ้นตามหุ้นในกลุ่ม ดังนั้นนักลงทุนควรจะระมัดระวัง
“ภาพขณะนี้เป็นเรื่องของการเก็งกำไรแล้ว นักลงทุนควรที่จะมีจุด Stop Loss ของตัวเอง จึงอยากแนะนำว่าไม่ควรที่จะไล่ราคาหุ้นแล้ว ถึงแม้ว่าผลประกอบการจะออกมาดี และราคาหุ้นก็ปรับเพิ่มไปกว่า 200-300% แล้วจากจุดต่ำสุด” นายกิจพณ กล่าว
ขณะที่นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คำแนะนำการลงทุนในหุ้นกลุ่มเหล็กขณะนี้ แนะนำให้ขายทำกำไร และไม่ควรที่จะเข้าไปไล่ราคาแล้ว เพราะว่าราคาหุ้นหลายตัวร้อนแรงเกินมูลค่าที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามนักลงทุนจะต้องมีความระมัดระวัง เพราะกำไรของผลประกอบการที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นผลจากราคาเหล็กที่มันเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณขายอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก