- High เดิม , Low เดิม
เราได้แสดงไปแล้วว่า High เดิม Low เดิม คือบริเวณที่อาจจะกลายเป็น แนวรับหรือแนวต้าน, High จะมีความสำคัญ เนื่องจากผู้ร่วมตลาด (market participants) อาจจะไปเข้าซื้อไว้ที่ High หรือ ที่บริเวณนั้น
เมื่อราคาลดลงมา ธรรมชาติของมนุษย์จะสั่งให้ไม่ยอม cut loss, แต่จะทนให้ถือไว้ ซึ่งจะทำให้รู้สึกไม่เจ็บปวดเท่ากับต้อง cut loss ทิ้งไปจริงๆ, ถ้าต่อมาราคาเด้งขึ้นกลับมาที่ HIGH เขาก็อยากจจะขาย เพื่อให้ได้เท่าทุน หลังจากทนเจ็บมานาน และหมดความทรมานกันเสียที, ส่วนสำหรับคนที่เข้าซื้อไว้ที่ทุนต่ำกว่า เมื่อได้กำไรก็มีแนวโน้มที่จะขายเพื่อทำกำไร ที่บริเวณที่ HIGH เดิมที่เคยไปถึงมาแล้ว, ด้วยสองเหตุผลนี้ทำให้ ถ้าราคาสูงกว่า HIGH ดูจะแพงไปเสียแล้ว ซึ่งก่อให้เกิดความอยากซื้อเพิ่มลดลง จึงกลายเป็น แนวต้านชั่วคราว
มาดูแนวรับกันบ้าง, ถ้าราคาเคยวิ่งขึ้นไปก่อนครั้งหนึ่ง แล้วหดตัว วก กลับลงมาที่ LOW เดิม, ราคาดูที่เหมือนจะลดลงมาเยอะ ทำให้ล่อใจคนที่คิดจะซื้ออยู่แล้ว เพราะพวกเขาเสียโอกาสในการเข้าซื้อ พวกเขาจึงรู้สึกขอบคุณตลาดด้วยซ้ำไปที่ให้โอกาสเข้าซื้ออีกครั้ง จึงจะเข้าซื้อกันมาก ตรงกันข้ามกับคนขายที่ลังเลที่จะขาย เพราะมูลค่าทรัพย์เขาเหลือน้อย เพราะราคาต่ำมาก (ไม่อยาก cut loss) และพวกเขาก็หวังว่าราคาจะเด้งกลับขึ้นไปอีกครั้งเหมือนที่เคยเกิดผ่านๆ มา, ทั้งสองเหตุผลจึงกลายเป็นการพยุงราคาไว้ก่อนทำให้เกิดเป็น แนวรับชั่วคราว
<Chart 3-1> แสดงราคาน้ำตาลในช่วง ค.ศ. 2002-2003
จาก Chart 3-1, จะเห็นได้ว่า High เดิม กับ Low เดิม ทำหน้าที่เป็น แนวรับ/แนวต้านที่ดีสำหรับทำนายอนาคตข้างหน้า, แต่เราก็ไม่มีทางรู้หรอกว่า ระดับไหนกันแน่ ที่จะเป็นแนวรับ/ต้านที่แข็งแกร่ง (เพราะมีระดับแนวรับ/แนวต้านหลายระดับ) นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้แนวเหล่านี้สามารถใช้คาดการณ์เพียงคร่าวๆ ที่ราคาจะกลับตัวชั่วคราว, เครื่องมือตระกูลอื่นๆ เช่นตระกูลแกว่งตัว (Oscillator) จึงเข้ามามีบทบาทมาช่วยเพิ่มเติมต่อจากนี้
- ที่บริเวณเลขกลมๆ (ตัวเลขเต็ม เช่น 1.6000)
บริเวณแนวรับและแนวต้านมักจะมีการเกิดขึ้นที่บริเวณเลขกลมๆ, นี่อาจะเป็นเพราะตัวเลขเช่น 10,50 หรือ 100 เป็นตัวแทนทางจิตวิทยาซึ่งเทรดเดอร์และนักลงทุนมักจะใช้เป็นจุดตัดสินใจ, เช่น ในปี 1970s ดัชนี Dow Jones Industrials กว่าจะผ่านแนว 1000 ไปได้ก็ยากลำบาก, สำหรับทองคำในปี 1980s – mid1990s, ตัวเลขมหัศจรรย์คือ $400 และยังมีตัวอย่างอีกมาก, คำแนะนำสำหรับจุดกลับตัวเบื้องต้นจึงให้จับตาไว้ที่ตัวเลขกลมๆ
แนวรับและแนวต้านจะมีการสร้างจำนวนเต็ม สิ่งนี้อาจจะสืบเนื่องมาจากจำนวน เช่น 10, 50 หรือ 100 อันแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งทางจิตวิทยาอย่างง่าย ซึ่งผู้ค้าและผู้ลงทุนมักจะเริ่มดำเนินการตัดสินใจ ยกตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 1970 ดัชนี Dow Jones Industrials มีการตกลงซื้อขายที่ยุ่งยากมาก เกินกว่า 1000 ระดับ และสำหรับความเฟื่องฟูในปี ค.ศ. 1980 และกลางปี ค.ศ. 1990 ตัวเลขที่กำหนดขึ้น จะเป็น 400 ดอลลาร์ เป็นต้น จากนั้น แนวทางในการเปลี่ยนตำแหน่งที่อาจจะเกิดขึ้นเพื่อค้นหาจำนวนเต็ม
------จบบทความแปล Price Pattern ตอนที่ 2, www.chiangmaiFX.com------