นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 7 วันทําการอย่างต่อเนื่องเกือบทุกวันตั้งแต่วันที่ 20 กรกฏาคม ปี พ.ศ 2561 มาจนถึงวันนี้ วันที่ 1 สิงหาคม ปี พ.ศ 2561 ( ยกเว้นวันที่ 25 กรกฎาคม ปี พ.ศ 2561 ที่ขายวันเดียวเพียง 330.56 ล้าน บาท ) ซึ่งทําให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 1,646 จุด มาปิดที่ 1,722 จุด หรือ เพิ่มขึ้น ( 1,722 - 1,646 ) / 1,646 x 100 = +4.62%
การที่มุมมองของนักลงทุนต่างชาติเปลี่ยนไปอาจจะเป็นเพราะว่ามีข่าวแว่วๆว่า กนง.อาจจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.50% มาเป็น 1.75% หรือ ปรับเพิ่มขึ้น 0.25% ในการประชุม กนง. ครั้งต่อไปในวันที่ 19 เดือนกันยายน ปี พ.ศ 2561 ที่จะถึงนี้ หลังจากที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีนี้คือปี พ.ศ 2561 มาจนถึงวันที่ 19 กรกฎาคม ปี พ.ศ 2561 เป็นจํานวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 198,000 ล้าน บาท
ผู้โพสต์ยังคงมีความเห็นเหมือนเดิมทุกๆครั้งว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในสภาวะตลาดกระทิง เหมือนกับตลาดหุ้น Down Jones และ ตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลก ตราบใดที่ Fed Fund Rate ยังคงมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ โดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น
และ ถ้า กนง. ปรับขึ้อดอกเบี้ยนโยบายในเดือนกันยายน ปีนี้ คือปี พ.ศ 2561 จริง โอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะขนเงินกลับมาซื้อหุ้นไทยคืนก็มีมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆในอนาคต
ผู้โพสตืยังคงการคาดการณ์เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลงว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะไปถึง 5,000 จุด ในช่วงปลายปี พ.ศ 2563 เพราะ การเมืองไทยมีความมั่นคง เหมือนกับตลาดหุ้นอินโดนีเซียที่ปรับตัวขึ้นไปรออยู่ที่ 6,000 จุด แล้ว
หมายเหตุ 1) ที่มาจาก ( www.settrade.com ) และ ( www.set.or.th )
2) เมื่อประมาณ 15 - 17 ปีที่แล้ว ดัชนีตลาดหุ้นอินโดนีเซียอยู่ที่ 250 จุด ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 350 จุด ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นอินโดนีเซียในขณะนั้นอยู่ตํ่ากว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยประมาณ 100 จุด ปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นอินโดนีเซียอยู่ที่ประมาณ 6,000 จุด ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 1,700 จุด ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นอินโดนีเซียอยู่สูงกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยประมาณ 4,300 จุด การที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยไปไหนได้ไม่ไกลเมื่อเปรียบเทียบกับชาวบ้านชาวเมืองเขา โดยเฉพาะตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ก็เพราะ ที่ผ่านมา 15 - 17 ปี เมืองไทยมีแต่ปํญหาความขัดแย้งทางด้านการเมืองมาโดยตลอด จึงไปไหนมาไหนไม่ค่อยจะเป็น ได้แต่วนไปวนมาอยู่ในอ่างหรืออยู่ในกะทะ ยังไงก็ยังงั้นแหละครับ พี่น้อง!
3) โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนใน สภาวะตลาดกระทิง และ ธุรกิจรับเหมาขาขึ้นรอบใหญ่ได้ใน longtunbysak.blogspot.com