กิโยตินกฎหมาย พลิกฟื้นความเชื่อมั่นและพัฒนาตลาดทุนไทย
By ดร.กิรติพงศ์ แนวมาลี, วิศิษฎา นวลมี / สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
สั่นสะเทือนไปทั่วโลกสำหรับมาตรการ “ภาษีตอบโต้” ของสหรัฐ ความไม่แน่นอนดังกล่าวเป็นสถานการณ์ล่าสุดที่ตลาดทุนไทยต้องเผชิญ

นอกเหนือไปจากความท้าทายในอีกหลายด้านที่ผ่านมา ทั้งสภาวะความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ และการเงินของโลก ภาวะการถดถอยของเศรษฐกิจในหลายประเทศ การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และรูปแบบธุรกรรมใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าตลาดเงินตลาดทุน
รวมทั้งปัญหาการใช้บังคับกฎหมายในประเทศที่กระทบความน่าเชื่อถือในตลาดทุนไทยตามที่ปรากฏเป็นข่าว
ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และโอกาสในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของตลาดทุนไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ การพลิกฟื้นความเชื่อมั่น
นอกจากการพัฒนากลไกด้านเศรษฐกิจแล้ว การพัฒนาปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อเกื้อหนุนการปรับตัวของตลาดทุนไทยก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในต่างประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร ที่ได้ดำเนินการปฏิรูปกฎหมายการเงินครั้งใหญ่ภายใต้โครงการ Edinburgh Reforms ปรับปรุงกฎหมายตลาดเงินตลาดทุนให้ทันสมัย
สอดคล้องกับสภาพการณ์ภายหลังจากที่สหราชอาณาจักรถอนตัวจากสมาชิกภาพของสหภาพยุโรป (Brexit) เพื่อให้สหราชอาณาจักรเป็นศูนย์กลางทางการเงินในยุโรปในอนาคต
หรือแม้แต่ สิงคโปร์ ก็มีแผนที่จะดำเนินการปฏิรูปกฎหมายและระเบียบในตลาดทุนเพื่อลดต้นทุนในการเข้ามาจดทะเบียน และดึงดูดธุรกิจใหม่ ๆ ในด้านเทคโนโลยี ฟินเทค และสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน
จากความสำคัญดังกล่าว ทีดีอาร์ไอซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมพัฒนาตลาดทุน (CMDF) ได้ทำการศึกษาทบทวนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนไทย โดยใช้แนวทางการ “กิโยตินกฎหมาย”
เพื่อเสนอแนะ ตัดโละกฎหมายที่ไม่จำเป็น รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น และสอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน
ในการทบทวน ทีมวิจัยสำรวจ และรวบรวมปัญหาเกี่ยวข้องกับกฎหมายจากผู้มีส่วนมีส่วนได้เสียทั้งภาครัฐ และเอกชน โดยตลอด 2 ปีที่ผ่าน ได้ดำเนินการศึกษาทบทวน และจัดทำข้อเสนอแนะไปทั้งสิ้น 138 ประเด็นซึ่งจำแนกได้อย่างน้อย 4 ปัญหาหลัก
ปัญหาแรก ความไม่สอดคล้องของกฎหมายกับสภาพการณ์ปัจจุบัน ส่งผลให้กฎหมายบางลักษณะสร้างภาระแก่ผู้ประกอบการ อาทิเช่น พ.ร.บ.บริษัทมหาชนฯ ยังกำหนดให้การส่งนัดประชุมผู้ถือหุ้นที่ชอบด้วยกฎหมายต้องส่งทางไปรษณีย์เป็นช่องทางหลัก
และหากจะส่งทางอีเมล ก็ต้องขอความยินยอมจากผู้ถือหุ้นก่อน หรือ ประมวลรัษฎากร ที่ยังกำหนดให้ต้องมีการติด และตรวจสอบอากรแสตมป์บนหนังสือมอบฉันทะของผู้ถือหุ้น
ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาระในการปฏิบัติตามไม่คุ้มค่ากับประโยชน์ที่เกิดขึ้น การปรับปรุงแก้ไขข้อกำหนดเรื่องนี้จะช่วยลดภาระแก่ผู้เกี่ยวข้อง เป็นต้น
ปัญหาที่สอง กฎหมายขาดแนวปฏิบัติ หรือกฎระเบียบที่ชัดเจน เช่น การขาดกฎหมายการส่งเสริมนักลงทุนหน้าใหม่ โดยเฉพาะเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่ยังถูกจำกัดสิทธิภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ส่งผลให้บุคคลเหล่านี้ไม่สามารถเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ หรือบัญชีการลงทุนได้เอง ลดโอกาสในการเข้าถึงการลงทุนและสะสมเงินออม หรือ การขาดแนวทางที่ชัดเจนในการบริหารจัดการเงินปันผลคงค้างที่ไม่สามารถตามหาเจ้าของได้
ทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนในการดูแลรักษาบัญชีให้กับนักลงทุนเหล่านี้ การกำหนดให้มีกฎหมายหรือแนวทางที่ชัดเจนจะช่วยลดภาระต้นทุนแก่ตลาดทุนลงได้ เป็นต้น
ปัญหาที่สาม ปัญหาในเชิงการบริหาร และขาดกลไกที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินการ เช่น การขาดระบบการเชื่อมต่อข้อมูลเพื่อส่งเอกสารบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทุนชำระระหว่างกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) และ บริษัท ศูนย์ฝากหลักทรัพย์ จำกัด (TSD)
ทำให้ผู้ประกอบการต้องดำเนินการส่งข้อมูลแก่หน่วยงานต่างๆ ด้วยตนเองหลายที่โดยไม่จำเป็น เป็นต้น
ปัญหาสุดท้าย ความล่าช้าในการบังคับใช้กฎหมาย และช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำผิดคดีหลักทรัพย์ เช่น ปรับปรุงการใช้บังคับกฎหมายเพื่อลงโทษผู้กระทำผิด
โดยสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังมีความล่าช้า โดยเพิ่มความรวดเร็วในกระบวนการพิจารณาสอบสวน และการเพิ่มโทษให้รุนแรงขึ้นเพื่อลดแรงจูงใจในการทำผิด
รวมทั้งการปรับปรุงกระบวนการดำเนินคดีแบบกลุ่ม (Class Action) โดยเปิดให้มีองค์กรซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเข้ามาดำเนินคดีแทนผู้เสียหาย การกำหนดค่าตอบแทนที่เหมาะสมแก่ทนายความ
การสนับสนุนด้านการเงิน การจัดการ ด้านความช่วยเหลือทางกฎหมาย และปรับกระบวนการทางศาลให้มีความกระชับเท่าที่จำเป็นและเป็นธรรมต่อคู่ความมากขึ้น เป็นต้น
ตัวอย่างของการปรับปรุงกฎหมาย และกลไกช่วยเหลือเหล่านี้จะช่วยให้เกิดผลดีหลายด้าน
ลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพ:
ลดกฎหมายที่ไม่จำเป็นหรือซ้ำซ้อน ทำให้ระบบกฎหมายมีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การลดขั้นตอน และข้อกำหนดที่ซับซ้อนในการดำเนินธุรกิจยังช่วยให้การลงทุนในตลาดทุนไทยเป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ:
ทำให้กฎเกณฑ์ชัดเจน และโปร่งใสขึ้นเพื่อให้นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนในตลาดทุนไทยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การเสริมสร้างความน่าเชื่อมั่นในตลาดทุนยังสามารถทำได้โดยเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย และการตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ลดต้นทุนและภาระทางธุรกิจ:
ทำให้ต้นทุนในการปฏิบัติตามกฎหมายและภาระทางธุรกิจลดลง ส่งเสริมการลงทุน และเพิ่มความน่าสนใจของตลาดทุนไทยสำหรับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
ทั้งนี้ หากภาครัฐได้ดำเนินการปรับปรุงกฎหมายตามข้อเสนอแนะจากการทบทวน 22 ประเด็น ซึ่งมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือและเข้าถึงได้
จะพบว่า ภาครัฐจะสามารถลดต้นทุนให้แก่ภาคเอกชนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างน้อย 1 พันล้านบาทต่อปี ไม่นับรวมประโยชน์อื่น ๆ ที่ยังไม่สามารถประเมินตัวเลขทางเศรษฐกิจได้ชัดเจน เช่น ความเชื่อมั่น ความเป็นธรรม การพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ในตลาดทุนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เป็นต้น
การกิโยตินกฎหมายไม่ใช่แค่การลดจำนวนกฎหมายที่ไม่จำเป็น หากแต่ปรับปรุงกฎหมายให้มีความทันสมัย และเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงานของตลาดทุน ช่วยสนับสนุนการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ
เช่น สำนักงาน ก.ล.ต. ที่มุ่งยกระดับความเชื่อมั่นผ่านยุทธศาสตร์ Trust and Confidence ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อตลาดทุนไทยในระยะยาว
บทวิเคราะห์นี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดบทความ “โครงการกิโยตินกฎระเบียบตลาดทุน” โดยทีดีอาร์ไอและกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF)”
ที่มาเนื้อหาข้อมูลข่าวจาก.. https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1176179