‘บาทแข็ง’ สะเทือนเศรษฐกิจ ‘เอกนิติ’ ชี้เศรษฐกิจรับไม่ได้-กระทุ้ง ‘แบงก์ชาติ’ ดูแล
- 'เอกนิติ' ชี้ค่าเงินบาทที่แข็งค่าสุดในรอบกว่า 4 ปี เป็นสิ่งที่เศรษฐกิจไทยซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักไม่สามารถยอมรับได้
- สาเหตุหลักของเงินบาทที่แข็งค่ามาจากปัจจัยภายนอก เช่น การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ, ราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น และกระแสเงินทุนไหลเข้าตามปัจจัยฤดูกาลท่องเที่ยว
- ผลกระทบโดยตรงคือภาคการส่งออกมีรายได้ลดลงเมื่อแลกกลับเป็นเงินบาท และภาคการท่องเที่ยวมีความน่าสนใจน้อยลงเนื่องจากค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวสูงขึ้น
- เตรียมเร่งรัดการนำเข้าของภาครัฐ
- ขณะที่ ธปท. ได้เพิ่มความเข้มงวดในการทำธุรกรรมของผู้ค้าทองคำเพื่อลดความผันผวน
สำหรับการเคลื่อนไหวของเงินบาท พบว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง โดยวานนี้ เงินบาทแข็งค่าสุดที่ระดับ 31.44 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นการแข็งค่าขึ้นในรอบกว่า 4 ปีครึ่ง นับตั้งแต่กลางปี 2564 โดยแข็งค่านำประเทศอื่นในภูมิภาค
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยพุ่งแรงเกือบ 20 จุด มาปิดตลาดที่ 1,273.40 จุด หวังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยนโยบาย
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สถานการณ์เงินบาทแข็งค่าสุดรอบ 4 ปี ได้หารือผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมยอมรับว่าปัจจัยหลักเกิดจากทิศทางการเงินโลก
โดยเฉพาะการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ส่งผลให้เม็ดเงินไหลจากที่ต่ำไปที่สูง และเกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางของกระแสเงินทุน
นายเอกนิติ กล่าวว่า แม้ทางกระทรวงการคลังจะเคารพความเป็นอิสระการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท.แต่ได้สื่อสารและประสานความเข้าใจว่าสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ค่าเงินบาทที่แข็งค่าเกินไปเป็นสิ่งที่เศรษฐกิจไทยรับไม่ได้
สำหรับสาเหตุสำคัญ คือ โครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก การที่ค่าเงินมีความผันผวนหรือแข็งค่าขึ้นขนาดนี้ ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่มีอยู่ยังไม่พร้อมรองรับสถานการณ์ดังกล่าวได้
ทั้งนี้เพื่อบรรเทาผลกระทบในส่วนกระทรวงการคลังมอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่ทำได้ทันที ได้แก่
1.การเร่งนำเข้าของภาครัฐสั่งการให้รัฐวิสาหกิจ และภาคราชการ อาศัยจังหวะที่เงินบาทแข็งค่า เร่งนำเข้าเครื่องจักรหรือสินค้าที่จำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อใช้ประโยชน์จากค่าเงิน
2.การบริหารหนี้สาธารณะมอบหมายให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ดูแลเรื่องการคืนหนี้ต่างประเทศ แต่มีข้อจำกัดเนื่องจากไทยมีสัดส่วนหนี้ต่างประเทศไม่มากนัก แต่ทางกระทรวงการคลังพยายามดำเนินการในส่วนที่ทำได้เพื่อช่วยดูแลค่าเงิน
นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารทีมวิจัย ศูนย์วิจัยธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ค่าเงินบาทอยู่ภาวะ “แข็งค่าขึ้นมาก” โดยทำจุดแข็งค่าสุดที่ระดับ 31.45-31.44 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าสุดรอบ 4 ปีครึ่ง นับตั้งแต่กลางปี 2564
ทั้งนี้ เงินบาทเริ่มแข็งค่าและเปลี่ยนแปลงรวดเร็วขึ้นตั้งแต่สิ้นเดือน พ.ย.ที่ค่าเงินบาทยังอยู่ที่ระดับ 32.20 บาทต่อดอลลาร์ แต่ปัจจุบันค่าเงินบาทมาอยู่ที่ 31.47 บาทต่อดอลลาร์ เป็นการแข็งค่าขึ้น 2.3% และรอบ 1 เดือน เงินบาทแข็งค่าขึ้น 2.97%
สำหรับปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ
1.การอ่อนแอของค่าเงินดอลลาร์จากแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แม้เฟดลดดอกเบี้ยตามคาด แต่นักลงทุนมองว่ามีโอกาสลดดอกเบี้ยมากกว่า 1 ครั้ง
2.การปรับตัวขึ้นอย่างมากของราคาทองคำในตลาดโลกต่อเนื่องที่เป็นปัจจัยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค จากความเชื่อมโยงของทองคำและเงินบาทที่ระดับสูง
3.ปัจจัยทางเทคนิคในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน หลังค่าเงินบาทได้หลุดผ่านแนวรับสำคัญหลายระดับต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่การหลุดระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ และหลุด 31.50 บาทต่อดอลลาร์ การหลุดแนวรับสำคัญกระตุ้นให้เกิดแรงเทขายเงินดอลลาร์เพิ่มเติมจากผู้เล่นในตลาด ซึ่งยิ่งทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
สำหรับแนวโน้มระยะสั้น มองว่า sentiment ของค่าเงินดอลลาร์ยังไม่ฟื้นตัว ค่าเงินบาทอาจมีโอกาสทดสอบระดับ 31.4 บาทต่อดอลลาร์ได้ และหากหลุดแนวรับดังกล่าวอาจเห็นเงินบาทไปสู่ 31 บาทต่อดอลลาร์ได้
- เงินบาทแข็งค่ามาจากผลของฤดูกาล
นายสงวน จุงสกุล ผู้บริหารฝ่ายธุรกิจสายงานตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ค่าเงินบาทมีทิศทางแข็งค่ามาก โดยส่วนหนึ่งมาจากความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินบาทกับราคาทองคำ ที่เริ่มกลับมีบทบาทอีกครั้ง หลังราคาทองคำมีแนวโน้มขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาล (All Time High) อีกครั้ง
ซึ่งเงินบาทได้รับแรงหนุนให้แข็งค่าขึ้นตามไปด้วย และจากดอลลาร์ที่อ่อนค่า
นอกจากนี้ปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการแข็งค่าของเงินบาท คือปัจจัยด้านฤดูกาล หรือ Seasonality เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว แม้การท่องเที่ยวอ่อนแอลงจากช่วงก่อนหน้าแต่กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิยังอยู่ในฝั่งที่เข้ามาซื้อเงินบาท
และหากย้อนดูสถิติในอดีตพบว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมาของเดือน ธ.ค.เงินบาทมักมีแนวโน้มแข็งค่าถึง 7 ครั้งจากทั้งหมด 10 ครั้ง และหากมองกรอบรายไตรมาส โดยเฉพาะไตรมาส 4 ภายในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าไตรมาสนี้ถึง 7 ครั้งเช่นเดียวกัน สะท้อนถึงการแข็งค่าที่มาจากปัจจัยเฉพาะจากฤดูกาลเป็นสำคัญที่มีผลต่อค่าเงินบาทในระดับทั้งรายเดือนและรายไตรมาส
สิ่งที่น่าสังเกตคือ บทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เริ่มมีข้อจำกัดเข้าไปแทรกแซงค่าเงินหรือไม่ เนื่องจากไทยเคยถูกจับตาประเด็นการแทรกแซงค่าเงินจากสหรัฐทำให้การเข้าไปดูแลเงินบาทระวังมากขึ้น
- เงินบาทแข็งค่ากระทบส่งออก-ท่องเที่ยว
สำหรับผลกระทบจากการที่เงินบาทแข็งค่ามองว่า ส่งผลหลายด้านทั้งด้านการส่งออกและท่องเที่ยว โดยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นยิ่งซ้ำเติมการส่งออกไทยช่วงที่เจอผลกระทบทั้งจากเศรษฐกิจชะลอตัว และมีความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับดีลทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐ และมีสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาเข้ามากระทบ
ดังนั้นสถานการณ์นี้อาจยิ่งมีผลลบต่อภาคการส่งออกมากกว่าผลบวก
รวมทั้งกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว โดยยิ่งทำให้การท่องเที่ยวไทยมีความน่าสนใจน้อยลงจากค่าเงินบาทที่แพงขึ้น ต้องจ่ายมากขึ้น จากเดิมที่ท่องเที่ยวอ่อนแอจากประเด็นความปลอดภัย
ดังนั้นจากเงินบาทแข็งค่าอาจทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเลือกท่องเที่ยวประเทศอื่น
- เข้มธุรกรรมซื้อขายเงินตราผู้ค้าทอง
นางสาวพิมพ์พันธ์ เจริญขวัญ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธปท.กล่าวว่า ธปท.สั่งให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดการทำธุรกรรมขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าของกลุ่มผู้ค้าทองคำที่อาจส่งกระทบความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และเพื่อให้การขายเงินตราต่างประเทศ
สะท้อนธุรกรรมการส่งออกทองคำที่เกิดขึ้นจริง ลดความเสี่ยงจากการทำธุรกรรมที่ไม่สอดคล้องกิจกรรมเศรษฐกิจจริง
โดยกำหนดให้สถาบันการเงินต้องเรียกตรวจเอกสารหลักฐานจากร้านทองในทุกธุรกรรมขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าอย่างครบถ้วน
เช่นเอกสารเรียกเก็บเงินและใบขนทองคำภายใน 2 วันทำการ นับจากวันที่ร้านทองส่งมอบเงินตราต่างประเทศ เพื่อยืนยันว่าการขายเงินตราเกิดจากการส่งออกทองคำจริง ไม่ใช่การทำธุรกรรมเพื่อวัตถุประสงค์อื่น
สำหรับประเด็นการหารือกับผู้ค้าทองคำ คาดจะอยู่ในช่วงต้นสัปดาห์หน้า ถึงการทำ hearing ตามประกาศกระทรวงการคลัง
- ผู้ค้าทองหารือ ธปท.22ธ.ค.นี้
นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการฝ่ายบริหารกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ หรือ “แม่ทองสุก เปิดเผย กรุงเทพธุรกิจว่า ในผลกระทบของเงินบาทแข็งค่าต่อราคาทองนั้น จากการศึกษาพบว่ามีผลกระทบเพียงประมาณ 7-8% เท่านั้น ไม่ใช่ 80-90% โดยการแข็งค่าของเงินบาทและการขึ้นของราคาทองคำต่างก็มาจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ซึ่งในประเด็นนี้ทาง ธปท.เข้าใจมากขึ้น
ทั้งนี้ ธปท.จะเรียกผู้ค้าทองกลุ่มเป้าหมายประชุมออนไลน์ร่วมกัน ในวันที่ 22 ธ.ค.2568 จะมีข้อมูลใดบ้างที่ต้องนำส่ง ธปท.และการพิจารณาร่วมกันเพื่อให้การปฏิบัติไม่เป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ค้าทอง เนื่องจากมีต้นทุนในการรวบรวมข้อมูล การทำระบบต่างๆ โดยเฉพาะร้านขนาดกลางและขนาดเล็ก
ทั้งนี้ ผู้ค้าทองกลุ่มเป้าหมายของ ธปท.คาดว่า มีราว 20 รายที่เข้าข่ายต้องรายงานข้อมูลกับ ธปท.ซึ่งผู้ค้าทองขนาดใหญ่ 5 ราย มีความพร้อมอยู่แล้ว เช่น MTS GOLD คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากมีระบบจัดเก็บข้อมูลอยู่แล้ว
- ผู้ส่งออกได้รับเงินบาทน้อยลง
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า สหรัฐส่งสัญญาณชัดเจนเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ย และมีแนวโน้มพิจารณาลดต่อเนื่อง ส่งผลให้เงินทุนบางส่วนเคลื่อนย้ายออกจากสหรัฐเข้ามาเอเชีย
โดยไทยถูกมองเป็นหนึ่งในจุดหมายน่าสนใจจากความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพรัฐบาลและเศรษฐกิจทำให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาพักในประเทศเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี เงินทุนไหลเข้าดังกล่าวส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งกระทบต่อภาคการส่งออกเพราะส่วนใหญ่ชำระเป็นเงินดอลลาร์
รวมทั้งเมื่อเงินบาทแข็งค่าทำให้ผู้ส่งออกได้รับเงินบาทลดลงต่อเงินดอลลาร์หนึ่งหน่วย หากเปรียบเทียบค่าเงินบาทจากระดับเดิมราว 32.5-33 บาทต่อดอลลาร์ มาอยู่ที่ 31.5 บาทต่อดอลลาร์ เท่ากับรายได้จากการส่งออกหายไปราว 6% ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง และจะสะท้อนผลกระทบต่อยอดส่งออกในช่วงเดือนนี้ชัดเจน
ที่มา… https://www.bangkokbiznews.com/finance/1212257