ห้องเม่าปีกเหล็ก

“ธุรกิจการบินเอเชีย”ยุคแข่งดุ-อุปทานแซงหน้าอุปสงค์

โดย Tunrawas
เผยแพร่ :
287 views

ประเมินว่าในช่วงปี 2560และ2580 จะมีการส่งมอบเครื่องบินโดยสารใหม่ทั่วโลกประมาณ 37,258 ลำ

การแข่งขันที่ดุเดือดของธุรกิจการบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังกัดกร่อนผลกำไรของธุรกิจการบินแม้ว่าธุรกิจการบินในภูมิภาคนี้จะมีผู้โดยสารใช้บริการคับคั่งมากกว่าภูมิภาคอื่นของโลก และผู้คนนิยมเดินทางกับสายการบินต้นทุนต่ำแต่เมื่อหักลบกับต้นทุนแล้ว บรรดาสายการบินในเอเชียแปซิฟิกมีส่วนต่างกำไรต่อผู้โดยสาร1คนไม่ถึง 5 ดอลลาร์

เอเอพีเอ บริษัทวิเคราะห์ มีฐานดำเนินงานอยู่ในกัวลาลัมเปอร์ ระบุว่า สายการบิน25แห่งในภูมิภาคมีกำไรสุทธิช่วงปี2561 ลดลงประมาณ50% เหลือ 4.7 พันล้านดอลลาร์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้นทุนด้านเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น และคาดการณ์ว่า สายการบินในเอเชียแปซิฟิกต้องเจอกับแรงกดดันด้านต้นทุนเชื้อเพลิงต่อไปจนจบปี ประกอบกับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง

การแข่งขันที่รุนแรงทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับศักยภาพของบรรดาสายการบินต่างๆในการขยายเส้นทางบิน รวมถึงการสั่งซื้อเครื่องบินใหม่เพิ่มในฝูงบิน โดยเฉพาะกับสายการบินแอร์เอเชีย กรุ๊ป ผู้บุกเบิกสายการบินต้นทุนต่ำ ยังระบุว่า กำไรจากการดำเนินงานลดลงเกือบครึ่งในปี 2561 เช่นเดียวกับสายการบินที่ให้บริการเต็มรูปแบบบางแห่งก็ยอมรับว่าต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดเช่นกัน

โทนี เฟอร์นานเดส ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ)แอร์เอเชีย ระบุเมื่อไม่นานมานี้ว่า รายได้ของสายการบินส่วนใหญ่มาจากเส้นทางบินในประเทศ โดยกำไรจากการดำเนินงานของสายการบินปี 2561 ร่วงลง 44% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ โดยมีกำไรที่ 286 ล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ ซีอีโอแอร์เอเชีย ยังคาดการณ์ว่า ธุรกิจการบินในเอเชียจะเผชิญภาวะขาลงไปอีกพักใหญ่ เมื่อพิจารณาจากผลการดำเนินงานของบริษัทในอินโดนีเซีย ไทย และประเทศอื่นๆในภูมิภาค และถึงแม้แอร์เอเชีย จะเป็นผู้เล่นหลักในธุรกิจการบินของภูมิภาคที่ถือเป็นตลาดการบินที่เติบโตเร็วที่สุด แต่แอร์เอเชียก็ไม่สามารถรอดพ้นจากปัญหาผลกำไรร่วงเพราะการแข่งขันที่ดุเดือด

ศูนย์กลางการบินเอเชียแปซิฟิก (ซีเอพีเอ)กลุ่มนักคิดมีฐานอยู่ในออสเตรเลีย ระบุว่า จำนวนที่นั่งของสายการบินต้นทุนต่ำเพิ่มขึ้น 4 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และทุกวันนี้อุปทานในอุตสาหกรรมการบินแซงหน้าอุปสงค์ไปไกลมาก จึงทำให้เกิดการแข่งขันที่ดุเดือดอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้

ทุกวันนี้มีเครื่องบินโดยสารเพิ่มขึ้นมาก โดยบริษัทเจแปน แอร์คราฟต์ ดิวิลอปเมนท์ คอร์พอเรชัน ซึ่งวิจัยการบินพลเรือน ประเมินว่าในช่วงปี 2560และ2580 จะมีการส่งมอบเครื่องบินโดยสารใหม่ทั่วโลกประมาณ 37,258 ลำ มีมูลค่ารวมประมาณ 5.55 ล้านล้านดอลลาร์ โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ถือเป็นตลาดการบินพลเรือนใหญ่สุดของโลก คาดว่าจะซื้อเครื่องบินโดยสารจำนวน 15,530 ลำ มูลค่าประมาณ 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ มากกว่าภูมิภาคยุโรป และอเมริกาเหนือ

ในปี 2560 จำนวนผู้โดยสารในเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้น 11% เป็น 1.5 พันล้านคน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของยอดผู้โดยสารทั่วโลกแต่คาดว่าตัวเลขนี้จะเพิ่มเป็น 3.9 พันล้านคนในช่วง20ปีข้างหน้า แต่หากอุตสาหกรรมการบินของภูมิภาคยังคงมีการแข่งขันอย่างดุเดือด การสร้างผลกำไรและรายได้เพิ่มขึ้นของอุตสหกรรมการบินโดยรวมอาจไม่ง่าย

สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ(ไออาต้า)ระบุว่า ส่วนต่างกำไรโดยเฉลี่ยก่อนหักภาษีและจ่ายดอกเบี้ยของอุตสาหกรรมการบินในเอเชียแปซิฟิกอยู่ที่ 6.7% เทียบกับในอเมริกาเหนือซึ่งอยู่ที่ 11% โดยในเมียนมา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นตลาดการบินที่มีอนาคตไกล มีสายการบินต้นทุนต่ำ 11 แห่งหลังจากรัฐบาลพลเรือนขึ้นมาปกครองประเทศแทยรัฐบาลทหาร แต่มีสายการบิน5แห่งที่ไปไม่รอด ต้องปิดกิจการ

ขณะที่ในเวียดนาม เวียดเจ็ทแอร์ ซึ่งเปิดตัวเมื่อปี 2554 เติบโตอย่างก้าวกระโดดและมีมูลค่าทางการตลาดแซงหน้าสายการบินแอร์เอเชีย และเป็นสายการบินที่ดึงดูดการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ กำลังเผชิญหน้ากับการแข่งขันจากสายการบินคู่แข่ง คือแบมบู แอร์เวย์ ของกลุ่มบริษัทเอฟแอลซี ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ของเวียดนาม

ส่วนสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ ล่าสุด นายกรัฐมนตรีมหาธีร์ โมฮัมหมัดของมาเลเซีย ระบุว่า กำลังศึกษาทางเลือกต่าง ๆ เกี่ยวกับอนาคตของสายการบินแห่งชาติ ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนเงินเพิ่มเติม การขายกิจการให้บริษัทอื่น หรือปิดกิจการ และว่ารัฐบาลจะตัดสินใจในเร็ว ๆ นี้

ทั้งนี้ กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ “คาซานาห์” ซึ่งเข้าควบคุมกิจการมาเลเซีย แอร์ไลน์สโดยสมบูรณ์เมื่อปี 2557 หลังเกิดเหตุเที่ยวบิน เอ็มเอช370 สูญหายปริศนาเมื่อวันที่ 8 มี.ค. ปีเดียวกันและมรสุมอื่น ๆ ตามมามากมาย ได้เรียกร้องให้สายการบินหากลยุทธ์เพื่อต่อสู้ในอุตสาหกรรมการบิน หลังจากทางกองทุนได้สนับสนุนเงินให้มาเลเซีย แอร์ไลน์สเกือบ 6,000 ล้านริงกิตเพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำกำไร

มาเลเซีย แอร์ไลน์ พยายามปรับรูปแบบการดำเนินการเพื่อให้มีกำไรภายในปีนี้ หลังจากเคยประสบปัญหาล้มละลายทางเทคนิคโดยผลประกอบการของบริษัทย่ำแย่ลงนับตั้งแต่เกิดโศกนาฏกรรมกับเครื่องบินสองลำของบริษัทเมื่อปี 2557

เมื่อกลางปี 2558 สายการบินประกาศแผนปรับโครงสร้าง ซึ่งรวมถึงปรับลดพนักงานที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ประมาณ 6,000 คนจากทั้งหมด 20,000 คน จากนั้นก็พยายามปรับรูปโฉมของสายการบินแต่สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น

ขอบคุณที่มา :

กรุงเทพธุรกิจ


Tunrawas