ห้องเม่าปีกเหล็ก

8 หุ้นรับผลบวก เมื่อราคาน้ำมันดิบยืนสูง 75 เหรียญฯ

โดย Story
เผยแพร่ :
598 views

ห้ามพลาด! 8 หุ้นรับผลบวก เมื่อราคาน้ำมันดิบยืนสูง 75 เหรียญฯ

ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบยังยืนอยู่ในระดับสูงราว 75 เหรียญต่อบาร์เรล ล่าสุดที่ประชุม OPEC+ ที่ดำเนินการมาแล้ว 3 วัน ประกาศยกเลิกการประชุม เนื่องจากที่ประชุมยังตกลงกันไม่ได้เกี่ยวกับการเพิ่มปริมาณการผลิตของประเทศสมาชิก โดยเฉพาะ UAE ยังเป็นประเทศที่คัดค้านข้อเสนอและต้องการเพิ่มโควตาการผลิต


รายงานจากบทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ระบุว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (5 –9 ก.ค.64) มีแนวทรงตัวในระดับสูง หลังอุปทานมีแนวโน้มตึงตัวเนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มเติบโตมากกว่าอุปทานที่กลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตรมีแผนจะปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งกลุ่มผู้ผลิตยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงดังกล่าวได้ ทำให้จะต้องกลับมาหารืออีกครั้งในวันที่ 5 ก.ค.


นอกจากนี้ราคายังได้รับแรงหนุนจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูกาลขับขี่ของสหรัฐฯ และการเดินทางที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในวันชาติสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ราคายังได้รับแรงกดดันจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในประเทศอังกฤษ ส่งผลให้การฟื้นตัวของการเดินทางระหว่างประเทศเป็นไปอย่างจำกัด


มุมมองบริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า หุ้นพลังงานต้นน้ำยังเด่น โดยปัจจัยแวดล้อมของหุ้นพลังงานเป็นบวกทั้งราคาผลิตภัณฑ์ต้นน้ำและปลายน้ำโดยเฉพาะราคาผลิตภัณฑ์ต้นน้ำทั้งน้ำมันดิบและราคาถ่านหินยังคงปรับขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ยัง ชอบหุ้นพลังงานต้นน้ำอย่าง BANPU, PTT, และ PTTEP ต่อเนื่อง



PTT ตัวเลือกที่ดีสำหรับหุ้นวัฏจักร

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า PTT เป็น Top pick ของเราสำหรับหุ้นกลุ่มพลังงานในไทย เนื่องจากสามารถเล่นในธีมวัฏจักรได้ดีกว่ากลุ่มเคมีภัณฑ์จากนาฟทา เรามอง PTT ยังเป็นตัวเลือกที่ดีท่ามกลางราคาน้ำมันที่สูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มมากขึ้น และการผันเข้าสู่หุ้นวัฏจักร ธุรกิจแก๊สอาจได้รับผลประโยชน์เพิ่มจากราคาน้ำมันและเคมีภัณฑ์ที่สูงขึ้นในช่วงไตรมาส 2/64


ราคา PTT ปรับตัวแย่กว่ากลุ่มพลังงาน (SET Energy) เกือบ 10%  และมี EBITDA ในปี 2564 ธุรกิจหลักต่ำกว่า 4 เท่า ถือว่ามีส่วนลดค่อนข้างมากเทียบกับกลุ่มในภูมิภาคเดียวกัน และ PGAS ในอินโดนีเซีย เราแนะนำ “ซื้อ” PTT ด้วยมูลค่าเหมาะสมที่ 52 บาท


ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด ระบุว่า คงคำแนะนำ "ซื้อ" PTT ด้วยราคาเป้าหมายกลางปี 2565 ที่ 45.0 บาท สะท้อนกระแสเงินสดอิสระ (FCF) และทิศทางกำไรที่แข็งแกร่งในช่วงปี 2564-65 ทั้งนี้ PTT มีสถานะที่ดีที่สุดที่จะได้ประโยชน์จากต้นทุนก๊าซในประเทศที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์ก็ปรับสูงขึ้นตามราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นในช่วงหลัง


สำหรับโอกาสในการลงทุนในห่วงโซ่มูลค่า EV ก็คาดว่าจะให้ผลดอบแทนดีกว่าการลงทุนในธุรกิจน้ำมันและก๊ซของกลุ่มบริษัทในปัจจุบัน อีกทั้งยังจะเป็นกลยุทธ์ที่ป้องกันความเสี่ยงต่อสภาวะที่อุปสงค์น้ำมันจะแตะจุดสูงสุดในช่วงราว 10 ปีข้างหน้า



PTTEP ได้ประโยชน์โดยตรง

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์เอเชีย เวลท์ จำกัด ระบุว่า คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 9,578 ล้านบาท ลดลง 17%จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 112%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลประกอบการลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากไม่มีกำไรพิเศษจากการต่อรองราคาซื้อแหล่ง โอมาน 61 กว่า 1 หมื่นล้านบาท แต่ยังมีผลขาดทุนจากการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจาก ความผันผวนของราคาน้ำมัน ใกล้เคียงกับไตรมาสแรก โดยคาดว่าจะมีผลขาดทุนจากรายการดังกล่าว 3.1 พันล้านบาท อย่างไรก็ตามกำไรจากการดำเนินงานปกติไตรมาส 2/64  ปรับเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญทั้งจากไตรมาสแรก และช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มต่อเนื่อง และการเพิ่มขึ้นของปริมาณขาย


เราคาดว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยไตรมาส 3/64 จะยังคงปรับเพิ่มเนื่องจากไตรมาส 2/64 ที่ 66.78 เหรียญต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบปัจจุบันเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 75 เหรียญต่อบาร์เรล และมีโอกาส อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของความต้องการใช้น้ำมันดิบ รวมไปถึงการคาดหมายความต้องการใช้น้ำมันดิบในปี 2564 ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 6-7 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับปี 2563


ขณะที่ครึ่งแรกปี 64 ความต้องการใช้น้ำมันดิบเพิ่มขึ้นเพียง 5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทำให้ครึ่งหลังปี 64 ถูกคาดหมายว่าจะเห็นการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่ปัจจัยกดดันด้านอุปทานระยะสั้นไม่มาก หลัง OPEC+ ปรับเพิ่มกำลังผลิตแบบค่อยเป็นค่อยไป ปัจจัยบวกดังกล่าวเพียงพอชดเชย ผลกระทบจากยอดขายปิโตรเลียมที่ลดลงตามแผนการหยุดซ่อมโรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่ 6 (ปิด 26 วัน) และราคาก๊าซฯ ที่คาดว่าจะลดลงจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย จึงมีมุมมองเชิบบวก หลังราคาน้ำมันดิบฟื้นตัว ยังคงแนะนำ “ซื้อ” โดยคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 140 บาท โดยราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่ม ยังคงเป็น Sentiment เชิงบวกต่อการลงทุนใน PTTEP ที่ได้ประโยชน์โดยตรง



PTTGC กำไรยังคงแข็งแกร่ง

นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า เราคาดว่าตัวเร่งปฏิกิริยาหลักต่อราคาหุ้นของ PTTGC คือข้อตกลง M&A ในธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเพิ่มส่วนต่าง EBITDA และขยายพอร์ตเคมีภัณฑ์ปลายน้ำเป็น 25% ในปี 2573 (จาก 10%) ด้วยงบดุลที่แข็งแกร่ง ซึ่งฝ่ายวิจัยไม่กังวลเกี่ยวกับเงินสด นอกจากนี้ยังคาดว่าโมเมนตัมกำไรหลักของ PTTGC จะยังคงแข็งแกร่งในไตรมาส 2/64 และนอกจาก IVL แล้ว PTTGC ยังเป็นหนึ่ง Top pick ในกลุ่ม คงคำแนะนำ ชี้อ ราคาเป้าหมายที่ 76.00 บาท



TOP สเปรดน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน-HSFO ทำสถิติสูงสุดในรอบห้าปี

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า สเปรดน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน-HSFO ทำสถิติสูงสุดในรอบห้าปีเพราะมีอุปทานตึงตัวในเอเชีย สเปรดเบนซีนยังแข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยหนุน EBITDA จากธุรกิจอะโรเมติกส์ในระยะสั้น โดยยังแนะนำ “ซื้อ” TOP ราคาเป้าหมาย 68.00 บาท เพราะธุรกิจอื่นนอกเหนือจากโรงกลั่นมีแนวโน้มทำEBITDA แข็งแกร่ง แต่บริษัทมีปัจจัยเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์เคมีภัณฑ์ที่มีการประเมินมูลค่าสูง



IRPC บันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมัน

ล่าสุดนายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้ดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซล (Ultra Clean Fuel Project: UCF) โดยการดำเนินโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงพลังงานที่กำหนดให้จำหน่ายน้ำมันดีเซลในประเทศตามมาตรฐาน Euro V ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เพื่อลดปัญหาฝุ่นมลภาวะ รวมถึงลดปัญหา PM 2.5 และสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาว


ทั้งนี้ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) แล้ว โดยโครงการนี้มีมูลค่าเงินลงทุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 13,300 ล้านบาท ซึ่งจะพร้อมผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2567 เมื่อโครงการนี้ดำเนินการแล้วเสร็จ บริษัทฯ จะสามารถแปลงสภาพน้ำมันดีเซลกำมะถันสูงเป็นน้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำตามมาตรฐาน Euro V ได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งหมด


นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 4.20 บาท โดยมองว่างวดครึ่งแรกของปี 64 แข็งแกร่ง แต่มีความเสี่ยงช่วงปลายปี ขณะที่สเปรดน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานที่แข็งแกร่งน่าจะช่วยชดเชย GRM ที่อ่อนตัวในระยะสั้น สเปรด ABS ยังแข็งแกร่ง แต่สเปรด PP มีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นจะทำให้ IRPC บันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมันจำนวนมากในไตรมาส 2/64



ESSO ปีนี้กำไรสุทธิ 4 พันล้านบาท

นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2565 เป็น 11.50 บาท จากเดิม 11.00 บาท เพื่อสะท้อนถึงการปรับเพิ่มประมาณการกำไร นอกจากนี้ ยังคงคำแนะนำ ซื้อ ESSO และยังเก็บ ESSO อยู่ในพอร์ตหุ้นเด่นกลุ่มพลังงานในครึ่งหลังปี 64


ในขณะเดียวกันบริษัทยังคงเป้าจะเพิ่มสถานีบริการน้ำมันเป็น 730 สถานีในปีนี้ จาก 702 สถานีในไตรมาสแรก 64 และจะเดินหน้าขยายร้าน Coffee Journey (จากปัจจุบัน จำนวน 13 สาขา) ที่สถานีบริการน้ำมันในเครือข่าย โดยเป็นความร่วมมือกันระหว่าง ESSO และ MINT


ทั้งนี้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ขึ้นอีก 23% เป็น 4.0 พันล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 7,911.07 ล้านบาท เนื่องจาก บริษัทปิดโรงงาน PX ชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 และ ค่าใช้จ่าย SG&A ลดลง โดยบริษัทปิดโรงงาน PX ชั่วคราวเพื่อผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูง (น้ำมันเบนซิน) แทน หลังจากที่ spread ของน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นเป็น 10.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในนับจากไตรมาส 2/64 ถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นการฟื้นตัวที่เร็วกว่า spread ของผลิตภัณฑ์จากการกลั่นตัวอื่นๆ


ดังนั้นจึงคาดว่าสัดส่วนผลผลิตน้ำมันเบนชินจะเพิ่มขึ้นจาก 25% ในไตรมาสแรก เป็น 28-29% ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป จึงปรับเพิ่มสมมติฐาน accounting GRM (รวมbase GRM และกำไร/ขาดทุนจากสด็อกน้ำมัน) ของ ESSO ขึ้นอีก 2%เป็น 5.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ปรับลดอัตราการใช้กำลังการผลิต PX ในปีนี้ลงจากเดิม 45% เหลือเพียง 15%


นอกจากนี้ เรายังปรับลดสมมติฐานค่าใช้จ่าย SG&A ลงปีละ 5% เหลือ 5.1 พันล้านบาทในปี 2564 และเหลือ 5.3 พันล้านบาทในปี 2565 จากโครงการประหยัดต้นทุนต่างๆ ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่าย SG&A ในไตรมาสแรก 64 ลดลง 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 2% จากไตรมาสก่อน เหลือ 1.25 พันล้านบาท ซึ่งการปรับลดค่าใช้จ่าย SG&A ดังกล่าวจะทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ของสูงขึ้นจากเดิมอีก 5% เป็น 4.5 พันล้านบาท



BCP ลงทุนระยะกลางรับผลบวกครึ่งหลัง

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ประเมินว่าผลการดำเนินงานหลักจะทยอยฟื้นตัว โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลัง 64 หนุนจาก กำลังกลั่นจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ไตรมาส 2/64 หลังผ่านการปิดซ่อมบำรุง ใหญ่ รวมทั้งประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้นจากโครงการ 3E และ Rocket ขณะที่ค่าการกลั่นได้ปัจจัย บวกจากการเข้าสู่ฤดูขับขี่ของสหรัฐฯ และการเดินทางระหว่างประเทศทยอยกลับสู่ระดับ ปกติ และการขยายกำลังผลิตจากการ COD โรงไฟฟ้า, COD แหล่งปิโตรเลียม, และขยาย จำนวนสถานีบริการน้ำมัน


ดังนั้นคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 3.0 พันล้านบาท และราคาเหมาะสม 31.00 บาท แนะนำ “ซื้อ” สำหรับลงทุนระยะกลาง 6-12 เดือน เพื่อรับปัจจัยบวกช่วงครึ่งหลัง 64



SPRC ราคาเป้าหมาย 9.60 บาท

นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 9.60 บาท โดยเราคงมุมมองเล็กน้อยเกี่ยวกับ SPRC ในระยะสั้น แต่คาดว่าอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยงจะดีขึ้นในระยะยาวเมื่อสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


Story