Cr.Wattana Stock Page
25 ก.ค. 2561 / 7.30 น.
การซื้อหุ้นคืนของ BEAUTY เริ่มต้นขึ้นเมื่อวานนี้เป็นวันแรก โดยบริษัทแจ้งการซื้อหุ้นคืน จำนวน 2.45 ล้านหุ้น คิดเป็นเงินราว 20 ล้านบาท จากจำนวนที่ตั้งไว้ซื้อสูงสุดไม่เกิน 64 ล้านหุ้น
นักวิเคราะห์หรือแม้แต่ไม่ต้องเป็นนักวิเคราะห์มองตรงกันว่า การประกาศซื้อหุ้นคืนนี้ เป็นเพียงการประกาศเพื่อสร้างข่าวดีเล็กๆให้กับราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมามาก จากข่าวเรื่องแนวโน้มอนาคตของธุรกิจ รวมไปถึงข่าวลืออื่นๆที่เข้ามากระทบ แต่ท้ายที่สุดก็คงไม่สามารถช่วยพยุงราคาอะไรได้มากมายนักอย่างที่หลายคนอยากให้เป็น
ถามว่า ซื้อคืนแล้ว หุ้นจะไปไหน? ก็เข้าไปอยู่ในบัญชีของบริษัทก่อน แล้วหลังจากนั้นก็จะมีเวลากำหนดว่า หุ้นเหล่านี้จะต้องขายคืนออกมาในตลาด ถ้าจำไม่ผิดจะเป็น 2 ปีนะครับ หากไม่ต้องการขายคืนก็ต้องทำการลดทุนโดยการลดจำนวนหุ้นให้เท่ากับจำนวนหุ้นที่ซื้อคืน
โดยหุ้นที่ซื้อคืนนี้ จะไปอยู่ใน "ส่วนของผู้ถือหุ้น" ในงบการเงิน แต่เป็นรายการที่แยกเอาไว้ต่างหาก และหุ้นทั้งหมดที่ซื้อคืนไปนี้ จะไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผล
ซึ่งแน่นอนว่า Dividend per share จะเพิ่มขึ้น และหากท้ายที่สุดหุ้นเหล่านี้ไม่ได้ถูกขายคืนกลับมาในกระดาน ก็จะทำให้ EPS ปรับตัวเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม จำนวนหุ้นสูงสุดที่ซื้อคืน 64 ล้านหุ้น คิดเป็นเพียงราว 2% เศษๆของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ BEAUTY เท่านั้น ก็คงไม่ได้ทำให้เงินปันผลเพิ่มมากขึ้นสักเท่าไหร่ และถึงแม้จะตัดหุ้นทิ้งในอนาคต ก็คงไม่ทำให้ EPS ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปัจจัยนี้ได้มากนัก
หลายคนตั้งข้อสงสัยถึงมติการซื้อหุ้นคืนครั้งนี้ว่า "ออกมาเพื่ออะไร?" นั่นเพราะมันแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเลย
แม้ในวันแรก การประกาศซื้อหุ้นคืนจะทำให้หุ้นดีดตัวขึ้นมาได้ แต่ก็เพราะคนไปตีความกันว่า ราคาซื้อคืนจะสูงถึง 14 บาทกว่า ซึ่งมันไม่ใช่ มันเป็นกรอบบนสุดของราคาที่กำหนดจาก จำนวนเงินที่ใช้ซื้อคืนสูงสุด และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนสูงสุด
ปัญหาของ BEAUTY เกิดขึ้น 3 ส่วน
ส่วนแรกคือ ความคาดหวังในการเติบโตในอนาคตของธุรกิจ ซึ่งเคยโตได้ถึง 40 - 50% แต่นับจากนี้ ส่วนใหญ่มองว่าจะโตได้เพียงราว 15 - 20 เท่านั้น ทำให้ราคาหุ้นที่เคยเล่นขึ้นไปจนค่า PE สูงเสียดฟ้าถูกปรับลงมาเพื่อให้สอดคล้องกับมุมมองการเติบโตที่เปลี่ยนไป
ส่วนที่ 2 คือ ความไม่มั่นใจ จากข่าวลือที่ถาโถมเข้ามาโดยเฉพาะเรื่อง การสร้างยอดขายปลอม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทเติบโตอย่างมากก่อนหน้านี้ และหากข่าวลือมีมูลความจริง มันก็เหมือนกับการโกงดีๆนี่เอง ซึ่งตรงนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้
ส่วนที่ 3 เป็นเรื่องทางจิตวิทยา นั่นคือ การลดสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ก่อตั้งบริษัท ซึ่งมีการลดสัดส่วนอย่างต่อเนื่อง จาก 70% ลงมาเหลือ 21% ซึ่งถือว่า "น้อยเกินไป" ในมุมของความเป็นเจ้าของกิจการที่มีต่อความคิดของนักลงทุน
คำถามคือ การซื้อหุ้นคือที่เริ่มขึ้นแล้วนั้น ได้แก้ไขปัญหาใดๆใน 3 ส่วนนี้ได้บ้างหรือไม่??
คำตอบคือ ไม่สามารถแก้ไขได้ในช่วงระยะเวลาของการซื้อหุ้นคืน
สิ่งที่นักลงทุนคาดหวัง หรืออยากได้ยินก็คือ ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ลดสัดส่วนหุ้นไปก่อนหน้านี้ จะทำการ "ซื้อหุ้นคืน" เพื่อถือในสัดส่วนที่มากขึ้น เพราะเห็นว่าราคาหุ้นปรับตัวลงมามากกว่าที่ควรจะเป็น
แต่กลับกลายเป็น เจ้าของขาย แต่ใช้เงินบริษัทเข้าไปซื้อคืน
มันจึงไม่สามารถตอบโจทย์การปรับตัวลงในครั้งนี้ได้ เพราะสิ่งที่คนกังวลกันมากในเวลานี้คือ ผู้ก่อตั้งนั้น "จะอยู่หรือจะไป" กันแน่
หากเปลี่ยนเป็นว่า ผู้ก่อตั้งประกาศเข้าซื้อหุ้น BEAUTY ในกระดาน และเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 25% เป็นต้น (ยกตัวอย่างนะครับ) รับรองว่า ราคาหุ้นขึ้นชนเพดานอย่างแน่นอน เพราะนั่นคือคำตอบที่ตรงกับคำถาม
หากเทียบกับ JAS ของคุณพิชญ์ที่มีการซื้อหุ้นคืนมาหลายครั้งก่อนหน้านี้ เป็นการประกาศอย่างชัดเจนว่า หุ้น JAS ที่ซื้อคืนไปนั้นจะไม่นำกลับมาขายอีก แต่จะลดทุน เพราะบริษัทมีเงินสดเป็นจำนวนมาก และต้องการเพิ่มผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น กรณี JAS นี้ จะมีความชัดเจนมากกว่า และมองเห็นประโยชน์ในอนาคตของการซื้อหุ้นคืนอย่างเป็นรูปธรรม
บริษัทอาจมองว่า ราคาหุ้นปรับตัวลงมาเยอะ ต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้ราคา "หยุดลง" ก็มองได้ แต่มันเป็นการแก้ปัญหา "เฉพาะหน้า" เพียงอย่างเดียว
ซึ่งหากการซื้อคืนมีราคาเฉลี่ยสมมติว่า 8 บาท ก็จะใช้เงินทั้งสิ้นราว 500 ล้านบาท โดยบริษัทบอกว่า ยังคงสามารถจ่ายปันผลได้ แต่มันจะทำให้ระดับเงินสดของบริษัทลดลงมากเกินไปหรือไม่ ซึ่งหากเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นมา อาจทำให้บริษัทจำเป็นต้องกู้เงินในอนาคต และนั่นจะทำให้ภาพของบริษัทที่เคยมีจุดเด่นที่การเป็นบริษัทที่ "ปลอดหนี้" นั้นเปลี่ยนไปในทันที
และดูจากปริมาณหุ้นที่จะซื้อคืนทั้งหมด เมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายหุ้น BEAUTY ในกระดาน หากมีแรงขาย ยังไงก็ต้านทานไม่ไหวอย่างแน่นอน
การจะปรับตัวขึ้น หรือจะปรับตัวลงของ BEAUTY ในช่วงนี้ จึงไม่น่าจะขึ้นอยู่กับเรื่องของการซื้อหุ้นคืน แต่หลายคนกำลังรอลุ้นงบไตรมาส 2 ที่จะออกมาไม่เกินกลางเดือน ส.ค. นี้
แต่เอาจริงๆแล้ว ไตรมาส 2 จะลุ้นดีกว่าคาดคงยาก เพราะผู้บริหารออกมาให้ข่าวเองแล้วว่าไม่ดีอย่างที่หวังแน่ ก็คงต้องลุ้นว่า คงไม่แย่ไปกว่าที่คาดไว้
คนที่คิดจะเล่นกับ "ตัวธุรกิจ" ของ BEAUTY จริงๆนั้น คงต้องรอติดตามในไตรมาส 3 - 4 ต่อไปว่า มันจะสามารถพลิกฟื้นได้อย่างที่คาดไว้หรือไม่
และที่สำคัญก็คือ การนั่งอ่านงบการเงินอย่างละเอียด เพื่อดูว่ามีส่วนใดที่ "น่าสงสัย" ตามข่าวลือที่ออกมาก่อนหน้านี้หรือไม่
ถ้ามันเป็นไปตามพื้นฐาน มันก็จะต้องเป็นอย่างที่ว่ามานั่นล่ะ คือ รอให้ผลประกอบการพิสูจน์ตัวบริษัทเอง
แต่ถ้ามันเป็น Money Game มาตั้งแต่เริ่ม ก็ลบทฤษฎีที่เคยเรียนกันมาออกไปให้หมด เพราะทุกอย่างจะถูกเดินตามแผนที่วางเอาไว้ตั้งแต่ต้น
วันก่อนมีคนส่ง link ว่ามี beauty blocker รีวิวร้าน BEAUTY BUFFET ก็ได้เข้าไปดูมา ก็ถือว่าเป็นการทำตลาดอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าเพิ่งมาเริ่มทำ หรือว่าได้ทำมาระยะหนึ่งแล้ว
แต่ที่แน่ๆ ต่อไปเราอาจได้เห็นสินค้าของ BEAUTY บนชั้นเครื่องสำอางของ 7-11 ซึ่งเป็นการขยายสินค้าไปสู่ตลาดที่ยังไม่เคยไป ซึ่งปัจจุบันนี้ KAMART ได้เอาสินค้าไปวางแล้ว ซึ่งก็น่ารักดี มีการขอลิขสิทธิตัวการ์ตูน tsum tsum ของ disney มาทำแพคเกจจิ้งด้วย
เอ้า สาวก "น้องสวย" ก็ต้องตามกันต่อไป
แต่ที่แน่ๆ ซื้อหุ้นคืน ดูเหมือนจะ "ไร้ประโยชน์" ในทางปฏิบัติ หากแต่ได้ผลในแง่จิตวิทยาเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ วันเดียวหลังประกาศข่าว