ห้องเม่าปีกเหล็ก

'TDRI' ชี้นโยบายทรัมป์สะเทือนซัพพลายเชนโลกแนะเตรียม 3 ข้อรับมือ

โดย เม่าคาวบอย
เผยแพร่ :
66 views

'TDRI' ชี้นโยบายทรัมป์สะเทือนซัพพลายเชนโลกแนะเตรียม 3 ข้อรับมือ

 

“ทีดีอาร์ไอ” ชี้นโยบายทรัมป์สะเทือนซัพพลายเชนแบ่งโลก 4 ขั้ว แนะไทยรักษาจุดยืนอยู่ในจุดเป็นกลาง รับประโยชน์ย้ายฐานการผลิต แนะ 3 ข้อรับมือทรัมป์

 

กระทรวงการคลังจัดงานครบรอบ 150 ปี กระทรวงการคลัง “MOF Journey 150 ปี เส้นทางการคลังไทย” โดยในการเสวนาหัวข้อ "เปลี่ยนวิกฤตโลก เป็นโอกาสไทย"  ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายการวิจัยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDR) กล่าวว่าจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากนโยบายการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯมีวัตถุประสงค์ในเรื่องของการดึงการลงทุนกลับไปที่สหรัฐฯและหารายได้เข้าประเทศ โดยการปรับภาษีขึ้นในส่วนแรกที่ปรับขึ้นทุกประเทศเท่ากัน 10% ก็ทำให้สหรัฐฯได้รายได้เพิ่มขึ้นถึง 3 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี

โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากนี้คือโลกจะเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า De Globalization ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นระเบียบโลกใหม่ ( A new world order) จากนโยบายของทรัมป์ซึ่งโลกที่เปลี่ยนไปเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงในเรื่องของซัพพลายเชน และการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในรอบ 40-50 ปี  โดยการรวมกลุ่มใหม่ทางเศรษฐกิจอาจแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มเศรษฐกิจได้แก่   

1.สหรัฐฯที่จะแยกกลุ่มออกไปจากการที่ตั้งกำแพงภาษีประเทศอื่นๆ การดึงการลงทุนต่างๆจะน้อยลง

2.จีนและพันธมิตรของจีน เช่น อิหร่าน รัสเซีย แอฟริกา และประเทศในอาเซียน

3.กลุ่มยุโรป และกลุ่มพันธมิตรของยุโรป เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอเมริกากลาง

และ 4.กลุ่มประเทศเป็นกลาง ที่จะสามารถ เทรดและค้าขายกับทุกกลุ่มได้เช่น อินเดีย ไทย และสิงคโปร์


 

ซึ่งแนวโน้มการแยก 4 กลุ่มการค้าที่เป็นผลจากนโยบายการค้าของทรัมป์ นอกจากจะมีการแยกซัพพลายเชนการผลิตยังทำให้เกิดการแยกธุรกรรมทางการเงินออกจากกัน สกุลเงินของจีน ยุโรป และสกุลเงินอื่นๆ จะมีบทบาทมากขึ้น  เงินสกุลดอลลาร์จะลดความสำคัญลง  มีการใช้เงินสกุลอื่นๆมากขึ้น ทำให้นักธุรกิจ ถือเงินหลายสกุล ทำให้การทำธุรกิจจะต้องมีการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น  และต้องมีการให้ความสำคัญกับการกระจายการลงทุน รวมทั้งมีการออมเงินโดยการถือครองทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงมากขึ้นด้วย

ดร.กิริฎา กล่าวต่อว่า แนวทางการเป็นประเทศที่เป็นกลางเป็นบวกต่อการลงทุนและเศรษฐกิจของไทย โดยที่ผ่านมาการลงทุนที่จะเกิดขึ้นใน 2 – 3 ปีที่ผ่านมาถือว่าสอดคล้องกับความต้องการในทิศทางของตลาดโลกเพราะว่าฐานการผลิตที่เราได้มาเพิ่มเติมคือเรื่องของเครื่องใช้ไฟฟ้า รถไฟฟ้า (EV) เซมิคอนดักเตอร์  ดาต้าเซนเตอร์ ไบโอเทคโนโลยี ที่เข้าจับกับภาคเกษตรไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติในยุโรป เป็นเทรนด์ รวมทั้งให้มีมีการเข้ามาใช้ local content ในไทย 40-50% ด้วย  

ทีดีอาร์ไอ มีข้อเสนอในการเตรียมความพร้อมรับมือผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ 3 ข้อได้แก่

 1.ปรับการค้าและการลงทุน เราจะพึ่งพาตลาดสหรัฐฯอย่างเดียวไม่ได้ เราควรเร่ง FTA กับประเทศต่างๆเช่น ยุโรป รัฐบาลจะต้องช่วยเปิดตลาดใหม่ๆ เช่น ละตินอเมริกา แอฟริกา เป็นต้น

2.การดึงดูดการลงทุนที่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในรอบ 50 ปี โดยครั้งสุดท้ายก็คือช่วง Plaza Accord ซึ่งเราต้องใช้ความเป็นกลางในการดึงดูดการลงทุน เราต้องมีการปรับทักษะที่รองรับกับการลงทุนในอนาคต ที่รัฐบาลต้องเข้ามาช่วยปรับ Skills ของแรงงาน

นอกจากนี้รัฐบาลควรให้การสนับสนุนเรื่องพลังงานสะอาด เพื่อสนับสนุนการลดคาร์บอน ราคาพลังงานต้องไม่แพงเกินไป และสนับสนุนเรื่องการทำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้มีการใช้งานในการสนับสนุนธุรกิจได้มากขึ้น

และ 3.การเตรียมเรื่องการเงินและการคลังของประเทศให้มีความพร้อม เนื่องจากเงินเฟ้อในโลกนี้จะเริ่มลง และอัตราดอกเบี้ยสามารถที่จะลดลงได้ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจจะสามารถลดดอกเบี้ยได้อีกในปีนี้ ประมาณ 2 ครั้ง โดยในส่วนนี้ดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงเหลือ 1.75% ในสิ้นปี ซึ่งจะช่วยประชาชนและภาคธุรกิจได้ ซึ่งต้องทำควบคู่กับการลดหนี้ครัวเรือน และเพิ่มรายได้ประชาชน

ส่วนการเตรียมการเรื่องของนโยบายการคลัง ซึ่งรัฐบาลต้องมีการเตรียมเงินไว้สำหรับอนาคต โดยเราอาจจะไม่มีศักยภาพในการก่อหนี้มากขึ้นนอนาคตทรัพยากรที่เรามีอยู่ต้องใช้จำกัด การแจกเงินไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ต้องไปใช้ในเรื่องของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ช่วยเหลือเอสเอ็มอี ซึ่งหากเราใช้เงินการคลังไม่ดี หากถูกลดเครดิตเรตติ้งเราจะสะเทือนมาก เรื่องนี้รัฐบาลต้องวางแผนในเรื่องของใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

 

ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1178498

 


เม่าคาวบอย