BEM เป็นจังหวะเข้า “สะสม”
จับตา Q3/65 กำไรทำจุดสูงสุดในรอบ 12 ไตรมาส

.
การใช้ชีวิตและการทำกิจกรรมภายนอกที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพมหานครกลับสู่ภาวะปกติ ส่งผลให้การจราจรในวันทำงานกลับมาหนาแน่นอีกครั้ง โดยรถไฟฟ้าและทางด่วนนับเป็นตัวช่วยสำคัญให้การเดินทางของคนกรุงในช่วงเวลาเร่งด่วนสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
.
โดย BEM หรือ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการทางพิเศษและระบบขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้า ก็ได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของผู้โดยสารและผู้ใช้บริการ ทำให้ถูกคาดการณ์ว่ากำไรไตรมาส 3 จะแตะจุดสูงสุดในรอบ 12 ไตรมาส นอกจากนี้ยังมีอัพไซด์จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน
.
ประกอบกับแรงกดดันด้านภาระดอกเบี้ยจากโครงการสายสีส้มและแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นลดลง เพราะคาดว่าจะไม่กระทบกับกำไรในปี 2566-2568 มากนัก ในขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมา 7% จากจุดสูงสุดของปี 2565 ในช่วงกลางเดือนก.ย. 65 นักวิเคราะห์จึงมองว่าเป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนที่กำลังหาโอกาสเข้าลงทุนในหุ้น BEM
.
นักวิเคราะห์จากบล.พาย ระบุว่า หลังจากรวมมูลค่าโครงการ MRT สายสีส้มเข้ามาร่วมคำนวณ คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/65 ที่ 731 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 12 ไตรมาส หนุนจากที่ทำงานส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ ยกเลิกนโยบายทำงานที่บ้าน การกลับมาเปิดสถานศึกษา และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้น ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) คาดแตะจุดสูงรอบ 3 ไตรมาสที่ 42% หนุนจากอัตราทดการดำเนินงาน (operating leverage) ระดับสูง ที่ช่วยรองรับผลกระทบจากส่วนแบ่งรายได้ MRT ที่สูงขึ้นเป็น 15% จาก 5% ตามสัญญาที่ทำกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม. ที่มีผลบังคับใช้เดือน ก.ค. 65)
.
ขณะที่รายได้ไตรมาส 3/65 คาดแตะ 3.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 69% จากไตรมาส 3/64 และเพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาส 2/65 หนุนจากจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยรายวันในระบบ MRT ที่ฟื้นตัวแข็งแกร่งเป็น 3.13 แสนเที่ยว เพิ่มขึ้น 292% จากไตรมาส 3/64 และ 36% จากไตรมาส 2/65 ขณะที่การจราจรบนทางพิเศษก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวต่อเนื่องเป็น 1.07 ล้านเที่ยวต่อวัน เพิ่มขึ้น 56% จากไตรมาส 3/64 และ 4% จากไตรมาส 2/65
.
คาดผู้โดยสารกลับสู่จุดสูงสุดในช่วงครึ่งปี 2566
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/65 คาดจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยรายวันในระบบ MRT จะฟื้นตัวต่อเนื่องสู่ระดับราว 3.60 แสนเที่ยว ซึ่งเป็นระดับที่เห็นครั้งสุดท้ายเมื่อเดือน ก.พ. 2563 แต่การกลับไปสู่ระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 4.13 เที่ยวในเดือน พ.ย. 2562 อาจต้องรอถึงช่วงครึ่งหลังปี 2566 เมื่อจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้ารายเดือนแตะ 2.0 ล้านราย (ราว 1.4 ล้านรายในเดือน ก.ย. 2565)
.
ภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอาจกดดันกำไรไม่มากนัก
สำหรับต้นทุนหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการ MRT สายสีส้ม ฝ่ายวิจัยคาดจะสร้างดาวน์ไซด์ต่อกำไรไม่มากนัก โดยประเมินดาวน์ไซด์ 1.80% ต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 สำหรับการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยแท้จริงทุกๆ 10bps ทั้งนี้ คาดบริษัทเซ็นสัญญาสายสีส้มภายในสิ้นปีนี้ หลังจากทำการทบทวนคำขอสำหรับข้อเสนอ (RFP) และเงื่อนไขภายใต้สัญญาการลงทุนร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) แล้วเสร็จ ก่อนที่จะเริ่มก่อสร้างในปี 2566 คาดว่าสายสีส้มตะวันออกจะเริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในเดือน ต.ค. 2568 ส่วนฝั่งตะวันตกคาดว่าจะให้บริการได้ภายในสิ้นปี 2570 ประเมินว่าโครงการจะช่วยสร้างมูลค่าส่วนเพิ่มขึ้น 1.5 บาท อิงสมมติฐานว่าจำนวนผู้โดยสารจะแตะ 3.50 แสนเที่ยวภายในปี 2571 หรือคิดเป็น 70% ของระดับที่ดีของสายสีน้ำเงิน
.
ด้านราคาหุ้นของ BEM ปรับตัวลดลง 7% จากจุดสูงสุดของปีนี้ในช่วงกลางเดือนก.ย. 65 หลังจากมีการขายทำกำไรบนประเด็นการชนะประมูลสายสีส้ม จึงถือเป็นโอกาสในการเข้าสะสม ประกอบกับกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวดีในครึ่งแรกปี 2565 ไปจนถึงปี 2566 อีกทั้งยังมีอัพไซด์จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนที่คิดเป็นสัดส่วนราว 10% ของจำนวนผู้โดยสารในช่วงก่อนเกิด Covid-19 ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงคงคำแนะนำ "ซื้อ" มูลค่าพื้นฐานที่ 11.40 บาท