เจาะงบ 4 หุ้นโรงแรม
กำไรจะโตแค่ไหน เมื่อนักท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก

.
ภาคการท่องเที่ยวของไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง เห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดว่าปี 2565 มีโอกาสที่จำนวนนักท่องเที่ยวจะสูงถึง 9-10 ล้านคน จากปีก่อนที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพียง 4 แสนคนเท่านั้น ซึ่งจำนวนดังกล่าวยังไม่รวมนักท่องเที่ยวจากจีน หากจีนเปิดประเทศจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาอีกไม่ต่ำกว่า 6 แสนคน และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคนในปี 2566
.
นอกจากนี้การท่องเที่ยวในไทยที่ดีขึ้นแล้ว การท่องเที่ยวในทำเลยอดนิยมของต่างประเทศก็ดีขึ้นเช่นกัน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนับเป็นบวกต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมที่น่าจะได้รับผลโดยตรง ทำให้มีจำนวนผู้เข้าพักเพิ่มขึ้น ช่วยสนับสนุนผลประกอบการให้ฟื้นตัวต่อเนื่อง ดังนั้น Wealthy Thai ขอนำคาดการณ์งบไตรมาส 3/65 ของหุ้นกลุ่มโรงแรม 4 ตัว ได้แก่ MINT, CENTEL, ERW และ SHR มานำเสนอนักลงทุน มาดูกันว่าแนวโน้มการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นต่อเนื่อง จะส่งผลบวกต่อผลประกอบการของหุ้นโรงแรมแค่ไหน
.
เริ่มที่หุ้นตัวแรก MINT หรือ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า คาดกําไรปกติในไตรมาส 3/65 ของ MINT ที่ 1 พันล้านบาท พลิกจากขาดทุนปกติ 2.4 พันล้านบาทในไตรมาส 3/64 แต่ลดลง 17% ไตรมาส 2/65 โดยกําไรที่ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าเป็นเพราะปัจจัยตามฤดูกาลของโรงแรมในยุโรป ส่วนภาพรวมกําไรที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นเพราะสภาวะการท่องเที่ยวดีขึ้นในทุกทําเลที่ตั้ง ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดว่ารายได้รวมในไตรมาส 3/65 จะเพิ่มขึ้นถึง 54% จากไตรมาส 3/64 แต่จะลดลง 5% จากไตรมาส 2/65 เหลือ 3.0 หมื่นล้านบาท ในขณะที่คาดว่า EBIT margin จะยังเป็นบวกที่ 13.1%
.
เนื่องจากราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบไปบางส่วนแล้ว จึงยังคงคําแนะนําซื้อ แต่เชื่อว่า ความไม่แน่นอนในปัจจุบันจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์, ความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจ และต้นทุนพลังงานที่จะแพงขึ้นทั่วยุโรปในปี 2566 อาจจะยังคงเป็นปัจจัยที่ถ่วงราคาหุ้นอยู่ ทั้งนี้ ราคาเป้าหมายใหม่ของบล.เคจี ไปที่ 33.50 บาท (จากเดิม 38.50 บาท)
.
ถัดมา CENTEL หรือ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) ฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิในไตรมาส 3/65 จะอยู่ที่ 145 ล้านบาท จากขาดทุนสุทธิ 803 ล้านบาท ในไตรมาส 3/64 และเพิ่มขึ้นถึง 558% จาก 22 ล้านบาท ในไตรมาส 2/65 โดยภาพรวมสถานการณ์ Covid-19 ที่ดีขึ้นในประเทศไทย และการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติมีส่วนช่วยหนุนรายได้ของทั้งธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร จึงคาดว่ารายได้รวมในไตรมาส 3/65 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 103% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 12% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็น 4.7 พันล้านบาท ขณะเดียวกันยังคาดว่า EBIT margin จะเพิ่มขึ้นเป็น 7.4% เพิ่มขึ้น 32.9 ppts จากไตรมาส 3/64 และ 2.6 ppts จากไตรมาส 2/65 เนื่องจากอัตรากำไรของทั้งธุรกิจโรงแรม และร้านอาหารดีขึ้นทั้งคู่
.
เนื่องจากธีมการลงทุนยังคงเป็น domestic play ฝ่ายวิจัยจึงเลือก CENTEL เป็นหนึ่งในหุ้นเด่น และคงคำแนะนำ ซื้อ ประเมินราคาเป้าหมายใหม่ที่ 54 บาท จาก 53 บาท อิง EV/EBITDA ปี 2566 ที่ 16.4x เท่ากับค่าเฉลี่ยระยะยาว 2.0 S.D.
.
ส่วน ERW หรือ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า คาดไตรมาส 3/65 จะขาดทุนปกติที่ 91 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นจากขาดทุนปกติ 559 ล้านบาท ในไตรมาส 3/64 และขาดทุนปกติ 151 ล้านบาท ในไตรมาส 2/65 โดยปัจจัยหนุนมาจาก 1. การฟื้นตัวของโรงแรมในไทย, 2. โรงแรมกลุ่ม Hop Inn ในไทยและฟิลิปปินส์ รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPar) กลับสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิด Covid-19 และ 3. คาดอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 47.9% จาก 46.6% ในไตรมาส 2/65
.
อย่างไรก็ตาม คาดแนวโน้มไตรมาส 4/65 จะเห็นผลขาดทุนลดลงหรือมีโอกาสกลับมาทำกำไรปกติเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิด Covid-19 สำหรับคำแนะนำ ราคาหุ้นเริ่มตึงตัว และมี Upside จำกัด ปรับคำแนะนำลงเป็น เก็งกำไร ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 4.60 บาท
.
ด้าน SHR หรือ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) คาดว่ากําไรปกติในไตรมาส 3/65 จะอยู่ที่ 45 ล้านบาท พลิกฟื้นจากขาดทุน 291 ล้านบาทในไตรมาส 3/64 และขาดทุน 111 ล้านบาทในไตรมาส 2/65 โดยผลการดําเนินงานที่ดีขึ้นอย่างแข็งแกร่งทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า เป็นเพราะกิจการโรงแรมดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในแทบทุกทําเลที่ตั้ง โดยเฉพาะในประเทศไทย อังกฤษ ฟิจิ และมอริเชียส ดังนั้น จึงคาดว่ารายได้จากธุรกิจโรงแรมในไตรมาส 3/65 จะสูงที่สุดในรอบหลายไตรมาสที่ 2.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 77% จากไตรมาส 3/64 และเพิ่มขึ้น 21% จากไตรมาส 2/65 ในขณะที่คาดว่าอัตรากําไรขั้นต้นของธุรกิจโรงแรมจะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องเป็น 33.2%
.
ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าพอร์ตรายได้ที่กระจายตัวอย่างสมดุลของ SHR จะช่วยรองรับความเสี่ยงด้าน downside ที่คาดหมายไม่ได้ และเนื่องจากราคาหุ้นไม่แพง จึงยังคงคําแนะนํา ซื้อ โดยประเมินราคาเป้าหมายใหม่ที่ 4.90 บาท จากเดิมที่ 5.40 บาท