ทำไมต้องจับตาค่าเงิน “เยน” ขาลง? ความสำคัญของสกุลเงิน “เยน”
“สกุลเงินเยนเป็นเงินตราต่างประเทศที่ใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศที่นิยมมากเป็นอันดับที่ 4 โดยเป็นรองสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ, ยูโร และปอนด์สเตอร์ลิง ดังนั้น สกุลเงินเยนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง”
“เยน” สกุลเงินของญี่ปุ่น เป็นสกุลเงินที่ถูกใช้โดยทั่วไปมากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ตามหลังดอลลาร์สหรัฐและยูโร โดยเป็นเวลาหลายทศวรรษที่สกุลเงินเยนถูกมองเป็น “ตัวแทน” ของเอเชีย ซึ่งถึงแม้ว่าสกุลเงิน “หยวน” ของประเทศจีนจะค่อยๆ เพิ่มความสำคัญขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ความยืดหยุ่นอาจยังมีไม่เพียงพอ ทำให้สกุลเงินเยนยังคงเป็นเงินตราของเอเชียที่ใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศที่ดีกว่าสกุลเงินหยวน
นอกจากนี้ สกุลเงินเยนยังเป็นเงินตราต่างประเทศที่ใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศที่นิยมมากเป็นอันดับที่ 4 โดยเป็นรองสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ, ยูโร และปอนด์สเตอร์ลิง ดังนั้น สกุลเงินเยนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเมื่อใดที่มีความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจในเอเชีย นักลงทุนจะแสดงความคิดเห็นผ่านทางสกุลเงินเยน ซึ่งจะไม่น่าแปลกใจนักหากมีการนำเสนอข่าวด่วนที่ก่อให้เกิดความไม่เชื่อมั่น ก็จะสั่นสะเทือนถึงสกุลเงินเยนอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าปัญหาเหล่านั้นจะไม่ได้เกิดขึ้นในญี่ปุ่นก็ตามที
อีกบทบาทหนึ่งที่น่าสนใจคือ สกุลเงินเยนนั้นเป็นสกุลเงินที่รองรับการระดมทุน ดังนั้น สถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในเอเชียหรือตลาดต่างๆ มีแนวโน้มจะผลักดันให้สกุลเงินเยนไต่ระดับสูงขึ้น ยกตัวอย่าง ความสัมพันธ์อันดีทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน มีแนวโน้มจะทำให้สกุลเงินเยนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่ในทางกลับกันถ้าหากความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ฝ่าย เลวร้ายลง สกุลเงินเยนก็จะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เป็นต้น
ส่วนในมุมของการลงทุน เมื่อบรรดานักลงทุนมีมุมมองไปในทิศทางที่ดีและหุ้นก็ฟื้นตัวจะส่งผลให้สกุลเงินเยนนั้นอ่อนค่ากว่าสกุลเงินนั้นๆ แต่ถ้าตลาดหุ้นพังยับ สกุลเงินเยนก็จะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นความสำคัญของสกุลเงินเยนที่นับเป็นเครื่องชี้วัดความทนทานต่อความเสี่ยงของตลาดด้วย
ทำไมสกุลเงินเยนอ่อนค่า
สกุลเงินเยนอ่อนค่าเกินกว่า 140 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 25 ปี โดยสาเหตุหลักๆ เพราะธนาคารกลางของญี่ปุ่นยังคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมาก (ultra-easy monetary policy) โดยรักษาอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำสุดที่ -0.1% สวนทางกับธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางประเทศอื่นๆ ที่ใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินโดยกำลังปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
เมื่อโฟกัสไปเฉพาะที่สหรัฐฯ ที่มุ่งปรับดอกเบี้ยขึ้น เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ขณะที่ญี่ปุ่นยังคงอัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้บรรดานักลงทุนมองว่าสินทรัพย์การเงินที่เป็นดอลลาร์สหรัฐนั้นน่าดึงดูดใจยิ่งขึ้น ซึ่งผลตอบแทนพันธบัตรต่างๆ นั้นเพิ่มขึ้น เนื่องจากกลุ่มเทรดเดอร์คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังคงขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงต่อไป ขณะที่ ธนาคารกลางญี่ปุ่น จะยังคงรักษาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ไว้ที่ราว 0% เพื่อพยุงเศรษฐกิจ และอีกปัจจัยที่มีส่วนกดดันสกุลเงินเยน คือ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งยังไม่ฟื้นกลับมาอยู่ในระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการขาดดุลการค้า
สกุลเงินเยนอ่อนค่าส่งผลอย่างไรต่อญี่ปุ่น
สกุลเงินเยนที่อ่อนตัวลงเป็นประวัติการณ์ได้สร้างทั้งประโยชน์และโทษต่อเศรษฐกิจ, ธุรกิจ และผู้บริโภค โดยการที่สกุลเงินเยนอ่อนค่าช่วยบริษัทญี่ปุ่นขนาดใหญ่ที่มีการดำเนินการในระดับโลก เพราะเป็นการเพิ่มมูลค่าของกำไรในต่างประเทศที่ส่งคืนกลับมา และในส่วนหนึ่งเป็นเพราะสกุลเงินเยนตก จึงทำให้กำไรของบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2497 ด้วย และการอ่อนค่าของเงินเยนยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นในแง่ที่สินค้าส่งออกของอุตสาหกรรมการผลิตจะมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น
นอกจากนั้น ค่าเงินที่อ่อนตัวยังสามารถช่วยเหลือด้านการท่องเที่ยวด้วยการเพิ่มอำนาจการซื้อให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และล่าสุด ผู้นำญี่ปุ่นได้ประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมพรมแดน โดยจะเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป เพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกันกับสหรัฐฯ โดยรัฐบาลญี่ปุ่นมุ่งที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวและใช้การอ่อนค่าของสกุลเงินเยนให้เป็นประโยชน์
อย่างไรก็ตาม แม้ค่าเงินอ่อนตัวจะสร้างประโยชน์ แต่ก็ให้ผลร้ายเช่นกันคือ การนำเข้าพลังงานและอาหารมีราคาแพงขึ้น ส่งผลกระทบหนักต่อผู้บริโภคที่รายได้ยังตามไม่ทันค่าครองชีพที่พุ่งสูง
อนาคตและทางออกของสกุลเงินเยน
หากถามต่อว่า อนาคตของสกุลเงินเยนจะเป็นอย่างไร ก็ต้องย้อนกลับไปที่สาเหตุหลักที่ทำให้สกุลเงินเยนอ่อนค่าคือ การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ว่าจะปรับเพิ่มสูงอีกแค่ไหน และทางออกของการอ่อนค่าของสกุลเงินเยนอาจมีอยู่ 4 ทางคือ
1. ลดการขาดดุลการค้าโดยส่งเสริมให้บริษัทต่างๆ ย้ายฐานการผลิตกลับมาที่ญี่ปุ่น
2. ต้องรอให้สหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยซึ่งจะส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
3. วิธีการแทรกแซงโดยตรงในตลาดเงินตราต่างประเทศ โดยการขายสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการซื้อสกุลเงินเยน ซึ่งหากรัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจใช้วิธีนี้ เพื่อทำให้สกุลเงินเยนแข็งค่าขึ้นก็จะนับเป็นการแทรกแซงค่าเงินครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2541
4. “การเตือนด้วยวาจา” (Verbal Warnings) ที่ทางการญี่ปุ่นใช้อยู่บ่อยครั้งแทนที่จะเข้าแทรกแซงจริงๆ ซึ่งเบื้องต้นทางการญี่ปุ่นเองก็มองว่าวิธีนี้น่าจะเพียงพอที่จะขวางกั้นทิศทางขาลงของสกุลเงินเยนได้
อย่างไรก็ดี สกุลเงินเยนที่อ่อนค่าลงต่ำมากเช่นนี้และไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ทำให้เกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับการแก้ปัญหาว่าผู้มีอำนาจกำหนดนโยบายควรเข้าควบคุมผ่านการแทรกแซงค่าเงินหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น ส่งผลให้ล่าสุดญี่ปุ่นได้เข้าไปแทรกแซงค่าเงินเยนแล้วเมื่อวันที่ 22 กันยายน ที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2541 ทำให้สกุลเงินเยนแข็งค่าขึ้นทันทีอยู่ที่ราว 142 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังจากก่อนหน้าในวันเดียวกันนี้สกุลเงินเยนอ่อนค่าแตะ 145 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากธนาคารกลางญี่ปุ่นตัดสินใจไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายและคงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไป
ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์มองว่าการแทรกแซงค่าเงินนั้นนานๆ ครั้งจะประสบความสำเร็จและการแทรกแซงค่าเงินเยนครั้งนี้คาดว่าจะเป็นความเคลื่อนไหวที่เพียงแค่จะบรรเทาการอ่อนค่าของสกุลเงินเยนเพียงชั่วคราวเท่านั้น
ส่วนมุมมองจาก Bloomberg ระบุว่า การแทรกแซงค่าเงินเยนในปี 2541 เป็นความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ แต่ด้วยขณะนี้สหรัฐฯ มุ่งมั่นกับการต่อสู้กับเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของสกุลเงินเยนนั้นเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับนโยบายทางการเงินของญี่ปุ่น ส่งผลให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ เพื่อแทรกแซงค่าเงินเยนอีกครั้งอาจไม่ใช่เรื่องง่ายขณะที่การแทรกแซงค่าเงินเยนเพียงฝ่ายเดียวในอดีตนั้นก็ไม่มีประสิทธิภาพมากนัก
ทั้งนี้ ปัจจุบันทุนสำรองระหว่างประเทศของญี่ปุ่นมีอยู่ราว 1.33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มากที่สุดในโลกรองจากประเทศจีน และส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถึงแม้ดูเหมือนปริมาณทุนสำรองระหว่างประเทศจะมีมาก แต่ก็อาจลดลงอย่างรวดเร็วหากจำเป็นต้องใช้เงินปริมาณมากเพื่อเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนในแต่ละครั้ง