DTAC กำลังประสบภาวะวิกฤตในแง่ของผลประกอบการของบริษัท รายได้และกำไรสุทธิลดลงติดต่อกัน ตั้งแต่ปี 2556 - 2559 จากระดับกำไรสุทธิเคยแตะอยู่กว่า 1 หมึ่นล้าน จนเหลือมาอยู่ที่ 2 พันล้านบาท เมื่อปี 2559 ทำให้ราคาหุ้น DTAC ลดลงอย่างต่อเนื่อง ลองมาดูงบ DTAC ปี 1Q60 กัน

 

 

- รายได้ในไตรมาสแรกของปี 60 รวมอยู่ที่ 19,748 ลบ. ลดลง - 8.9% YoY, - 8.0% QoQ

แนวโน้มภาระต้นทุนจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง - กำไรสุทธิ อยู่ที่ 229 ลบ. เพิ่มขึ้น 661% จากไตรมาสก่อน โดยส่วนใหญ่เกิดจาก Ebitda ที่เพิ่มขึ้นรวมทั้งมีการบันทึกค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างจำนวน 146 ลบ.ในไตรมาสก่อน

 

ในขณะที่กำไรสุทธิลดลง 82% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่เกิดจากค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจากการขยายโครงข่าย 

- DTAC ต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายหนักๆ ในอนาคต ได้แก่

 

1) ค่าเสื่อมราคา หรือ ค่าเช่าคลื่น (ขึ้นกับว่าจะได้คลื่นมาด้วยวิธีไหน) จากความจำเป็นต้องเอาคลื่นมาเพิ่มในอนาคต (เราประเมินขั้นต่ำต้องได้เพิ่มอย่างน้อย 30MHz) และ

 

2) ค่าเช่าอุปกรณ์สัมปทานกลับมาใช้หลังหมดอายยุในปี 2561 ค่าใช้จ่ายทั้งสองเป็นปัจจัยหลักที่จะกดดันผลประกอบการและกระแสเงินสดของ DTAC

 

ในอนาคต หาก DTAC ไม่สามารถกลับมาโตรายได้ในระดับที่เหมาะสมได้ ยังคงมุมมองแนวโน้มขาลง คงประมาณการและคำแนะ ที่ราคา 32 บาทต่อหุ้น 

 

 

ผลประกอบการ DTAC ยังอ่อนแอ เนื่องมาจาก

 

1. service revenue ex. IC ที่ 1.6 หมึ่นล้าน ลูกค้าแบบ prepaid ยังคงไหลออกอย่างต่อเนื่อง คาดว่าเสียส่วนแบ่งการตลาดไปให้ True

 

2. การอุดหนุนค่าเครื่องยังทำต่อ (ขาดทุนกว่า - 900 ล้าน)

 

3. ค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้น (21%, YoY)

 

สิ่งที่นักลงทุนต้องจับตา จะมีโอกาสพลิกกลับมาได้หรือไม่ ?

 

 

- ประมาณการและคำแนะนำ  DTAC ที่ราคา 32 บาทต่อหุ้น (DCF WACC 8.7% Terminal Growth 1.5%) โอกาสผลิกเกมส์จะเกิดขึ้น หาก 

 

1) ต้นทุนของคลื่นใหม่ที่จำเป็นต้องได้ ถูกกว่าทีคู่แข่งได้มาก่อนหน้าอย่างมีนัยยะ (โอกาสยังต่ำ) 

 

2) DTAC สามารถสร้าง structure ที่ลดต้นทุนค่าเช่าสินทรัพย์สัมปทานกลับมาได้อย่างมีนัยยะ และ 

 

3) DTAC ลดขนาดกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากๆ 

 

ภายในระยะไม่กี่ปีนี้แหละ ถือเป็นบททดสอบครั้งสำคัญของ DTAC จะสามารถกู้วิกฤตกลับมาได้หรือไม่ ? ว่าจะอยู่ต่อหรือจะไป หรือจะไปรวมกับใครต่อ ?

เพื่อนๆ นักลงทุน มีมุมมองความคิดเห็นกันอย่างไรบ้าง ร่วมแชร์กันมาได้นะครับ 

 

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : SET, บทวิเคราะห์ บล. Maybank KimEng