"ด้วยวิวัฒนาการของการลงทุนเน้นคุณค่า และแรงของมวลชนที่ต่างพยายามหาหุ้นถูกๆ จึงทำให้ทุกวันนี้หุ้นถูกๆจะสะท้อนถึงคุณค่าอย่างรวดเร็ว และเมื่อคนเริ่มพบเห็น มันก็มีราคาที่แพงไปแล้ว" Seth Klarman
(ที่มาภาพ : zerohedge.com)
ทุกวันนี้ดูเหมือนว่า "การลงทุนแบบเน้นคุณค่า" จะเป็นยาวิเศษที่ค่อยปลอบประโลมใจนักลงทุนผู้ซึ่งผิดหวังกับการลงทุน และได้รับผลตอบแทนที่แพ้ตลาดมาอย่างยาวนาน จึงหันมาใช้การลงทุนแบบเน้นคุณค่าเพื่อสร้างผลตอบแทนเพื่อหวังว่าจะรวยแบบวอเร็น บัฟเฟตต์หรือใครอีกหลายๆคน มีงานวิจัยจำนวนมากอธิบายการลงทุนแบบเน้นคุณค่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว แต่น่าเสียดายที่ประวัติศาสตร์บอกเราว่า มีเพียงน้อยคนนักที่จะเข้าถึงการลงทุนระยะยาวแบบยาวจริงๆ ไม่ใช่แค่หวังเพียงกำไรระยะสั้นก็ขายทิ้งไป
อย่างไรก็ตามด้วยผลตอบแทนที่น่าจูงใจก็เป็นสาเหตุให้นักลงทุนทั่วโลกต่างมุ่งหวังจะเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า ด้วยเหตุนี้เองแนวความคิดที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องการลงทุนแบบเน้นคุณค่าไม่ใช่แค่เพียงถูกอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องอื่นเข้ามาเป็นส่วนประกอบด้วย เช่น เรื่องของการเติบโต เรื่องของปันผล ฐานะทางการเงิน เป็นต้น
ครั้งหนึ่ง เบนจามิน เกรเฮม บอกเราว่า "สัญญาณของหุ้นที่มีราคาถูก คือ การที่ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ นี้เป็นเพียงสัญญาณแรกๆที่นักลงทุนเน้นคุณค่าพันธุ์แท้ต้องเข้าไปค้นหาถึงมูลค่าของมัน"
ปัญหาการลงทุนเน้นคุณค่าในวันนี้
Seth Klarman เคยพูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า "ด้วยวิวัฒนาการของการลงทุนเน้นคุณค่า และแรงของมวลชนที่ต่างพยายามหาหุ้นถูกๆ จึงทำให้ทุกวันนี้หุ้นถูกๆจะสะท้อนถึงคุณค่าอย่างรวดเร็ว และเมื่อคนเริ่มพบเห็น มันก็มีราคาที่แพงไปแล้ว" นี้คือสิ่งที่ Seth Klarman เขียนในจดหมายถึงผู้ถือหน่วยลงทุน Baupost investors.
นั้นหมายความว่านักล่าของถูก "อาจจะ" ไม่สามารถหาของถูกได้อีกต่อไปแล้ว แทนที่เราจะพยายามหามูลค่าโดยเนื้อแท้ ทำไมเราไม่พยายามค้นหาวิธีใหม่ที่จะทำให้เราหาหุ้นตัวใหม่ได้อีก ดูเหมือนว่าการลงทุนเน้นคุณค่าจะตกอยู่ท่ามกลางสภาวะของความยากลำบากที่จะดำเนินต่อไปได้ .. เราจะต้องเปลี่ยนวิธีใหม่จริงๆเหรอ ? ผมรู้สึกว่าเวลานี้มันตรงกับคำพูดของวอเร็น บัฟเฟตต์ที่ว่า "to be greedy when others are fearful" (จงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว และจงกลัวเมื่อคนอื่นกล้า) เวลานี้เราควรจะกลัวมากกว่า เพราะถ้าเรามองออกไป นักลงทุนต่างพยายามสนุกสนานกับการทำจุดสูงสุดใหม่ของตลาด S&P500 แต่ผมศึกษาแล้วค้นพบว่าจากหุ้นทั้งหมด 500 ตัวของ S&P มีหุ้นไม่ถึง 50 ตัวที่ทำจุดสูงสุดใหม่ นั้นหมายความว่ามีไม่ถึง 3% ของหุ้นทั้งหมด แต่ในขณะที่นักข่าวของวอลสตรีท ต่างรายงานว่านักลงทุนกำลังสนุกสนานกับการทำ All Time High ผมคิดว่ามีนักลงทุนเพียงแค่ 3% ที่กำลังสนุกสนานกับการขึ้นของตลาดมากกว่า ส่วนอีก 97% นะเหรอ ? ก็อย่างที่เรารู้กันนั้นละ ..
นักลงทุนจำนวนมากต่างมองโลกในแง่ดี มากกว่าที่เคยเป็น ณ จุดสูงสุดของตลาดหุ้น มีเพียงน้อยคนนักที่คิดว่าตลาดหมีกำลังจะมา เหตุการณ์นี้มันเป็นสัญญาณเตือนอย่างหนึ่งซึ่งมักจะตามมาด้วยการปรับฐานอย่างรุนแรง และเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนนักลงทุนอยู่เสมอว่า "การมองโลกในแง่ดี" เป็นยาพิษของนักลงทุนโดยแท้จริง ทุกวันนี้นักลงทุนเต็มใจที่จะซื้อมันทุกราคาโดยไม่ผ่านการวิเคราะห์ว่าราคาที่เรากำลังซื้อแพงไปหรือไม่
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่มีประสบการณ์และผ่านตลาดมานานแล้วจะบอกว่า การทำนาpตลาดเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ หรือถ้าเราเป็นคนมีความสามารถพิเศษจริงๆสามารถอ่านตลาดได้ขาด แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเราควรจะซื้อหรือขายหุ้นตัวไหน มันก็คงไม่มีประโยชน์อยู่ดี แม้กระทั่งเราสามารถทำนายตลาดได้ แต่ก็ยากจะบอกว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร พวกเราจะได้เตรียมพร้อมได้ทันก่อนการตกของตลาดรอบต่อไป และซื้อหุ้นก่อนที่มันจะขึ้นในรอบถัดไป
กับดักของนักลงทุนเน้นคุณค่า คือ การที่เราเชื่อว่าเราไม่สามารถหาหุ้นถูกๆได้อีกต่อไปแล้ว เพราะหลงไปกับอารมณ์ตลาดขาขึ้น
(ที่มาภาพ : gurufocus.com)
แล้วยังไงต่อ ? เราจะตั้งรับกับสถานการณ์เหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง ....
เราจะทำอย่างไรดี ณ สถานการณ์เวลาแบบนี้ ? มันถึงเวลาแล้วใช่ไหมที่จะขายหุ้น และรอให้ตลาดเกิดการถล่มแล้วค่อยเข้าไปเก็บหุ้นในราคาถูกๆ วิธีไหนจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับนักลงทุน ? คำตอบนั้นตัวคุณต้องเป็นคนตอบมันด้วยตัวเองเท่านั้น ซึ่งสิ่งนี้จะขึ้นอยู่กับว่าคุณยอมรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน ตอนที่ตลาดหุ้นตกลงอย่างหนักจะเป็นบททดสอบอย่างแท้จริงว่านักลงทุนมี"ความกลัว" ที่จะยอมรับแรงกระแทก และผลตอบแทนของหุ้นในพอร์ตโฟลิโอที่ลดลงอย่างรวดเร็วได้หรือไม่ นักลงทุนผู้ศรัทธาถึง "มูลค่าโดยเนื้อแท้" เท่านั้นที่จะอยู่รอด เพราะพวกเขาจะหลีกเลี่ยงไม่ซื้อหุ้นที่มีราคาแพง หรือซื้อหุ้นที่คนอื่นๆมองโลกในแง่ดีเกินไป
การอ่านและสัมผัสประสบการณ์จากการอ่านถึงสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นตก 20% 3% หรือแม้แต่ 60% เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ของแท้ เพราะตัวคุณเองไม่ได้ประสบพบเจอเองจึงยากแก่การเข้าใจยิ่ง การตกลงถึง 60% จะเป็นตัวกดดันถึงจิตใจของนักลงทุน นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องของการกดดันฐานะทางการเงินของนักลงทุนอีกด้วย ซึ่งหมายความว่า คนทั่วไปจะบอกว่าให้ซื้อหุ้นตอนที่หุ้นตก แต่โชคไม่ดี คือ ตอนที่หุ้นตก คนทุกคนก็ไม่มีเงินจะซื้อมัน แรงกดดันประเภทนี้เป็นเรื่องยากที่จะทำใจยอมรับมันได้
ผมคงไม่มี "วิธีสำเร็จรูป" ที่จะทำอย่าไงรถ้าเราเจอสถานการณ์แบบนี้ แต่ผมหวังว่าวิธีที่ดีที่สุด คือนักลงทุนควรทำใจและเตรียมพร้อมกับการปรับฐานอย่างหนักของตลาดหุ้นด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ด้วยแล้ว การศึกษาโดยการอ่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการอ่านหนังสือ อ่านหนังสือพิมพ์ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมถึงติดตามนักลงทุนที่มีชื่อเสียงหลายคนซื้อ-ขายหุ้นกันอย่างไร จะเป็นตัวชักนำให้คุณพร้อมรับมือกับสถานการณ์ได้ไม่ยาก สิ่งสำคัญคือ "อย่าออกจากตลาด"
ในขณะเดียวกัน คุณควรสอดส่องหุ้นในพอร์ตของคุณว่ามีหุ้นตัวไหนที่มีราคาถูกเป็นพิเศษหรือไม่ บางทีเราอาจจะไม่จำเป็นต้องหาหุ้นตัวใหม่ หุ้นที่คุณควรซื้อเพิ่มคือหุ้นที่มีอยู่
บทความแปล : Don’t Fall Into the Value Investing Trap (http://www.gurufocus.com)
เขียนโดย : Rupert Hargreaves นักเขียนและนักลงทุนเน้นคุณค่า
สรุปและเรียบเรียงใจความสำคัญโดย : SiTh LoRd PaCk
---------------------------------------------------