เจาะธีมการลงทุนรับอีกหนึ่งโครงการเมกะโปรเจ็กต์จากภาครัฐ พร้อมคำถามหลักคือ “หุ้นไหนจะได้ประโยชน์?” เมื่อเห็นความพยายามเร่งเดินหน้าผลักดันโครงการแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economics Corridor หรือ EEC) ที่ถูกระบุว่าจะใช้เงินลงทุนถึงกว่า 1.5 ล้านล้านบาท เป้าหมายคือการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่บนพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ภายในระยะเวลา 5 ปี (2560-64)
โครงการนี้ประกอบไปด้วยแผนงานหลัก 3 ด้าน คือ :
1.พัฒนาระบบคมนาคม
2.พัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ไม่ต่ำกว่า 3.5 หมื่นไร่
3.เพิ่มสิทธิประโยชน์การลงทุน เช่น ยกเว้นภาษีนิติบุคคลจาก 8 ปี เป็น 13 ปี และ 15 ปีใน 10
อุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อดึงดูดการลงทุนจากผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศ
ตามกำหนดการคือในวันพุธที่ 5 เม.ย.นี้ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานเพื่อติดตามการทำงานของคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กรศ.) ซึ่งเตรียมนำเสนอข้อมูลให้กับคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ (ครศ.) หรือบอร์ดชุดใหญ่ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
โดยในวาระเบื้องต้นจะประกาศพื้นที่บริเวณสนามบินอู่ตะเภาเป็นเขตส่งเสริมระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ เมืองการบินภาคตะวันออก (Eastern Airport City) ในพื้นที่ 6,500 ไร่ และพัฒนารถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพ-ระยอง ที่จะต้องประกาศ TOR ให้เอกชนมาลงทุนในช่วงกลางปีนี้และเปิดประมูลให้ได้ในปีนี้ หลังจากได้ผ่านขั้นตอนรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ไปแล้ว
ได้สำรวจมุมมองนักวิเคราะห์ที่มีต่อโครงการดังกล่าว ส่วนใหญ่มีเสียงตอบรับในทิศทางบวก เพราะจะช่วยยกระดับขีดความสามารถของประเทศให้ดีขึ้น รวมถึงช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ที่แผ่วลงต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“อาภาพร แสวงพรรค” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) บอกว่า โครงการ EEC ถือเป็นโครงการที่ดีที่พัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมไทยเป็นฐานการผลิตนักลงทุนต่างชาติ เพราะหลายปีมานี้ตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ลดลงจากในอดีตมาก ซึ่งคาดว่าโครงการฯ จะส่งผลบวกโดยตรงต่อหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ AMATA และWHA ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินรองรับการขยายตัวอยู่จำนวนมาก และหากมีความชัดเจนก็อาจจะหนุนให้ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องจับตาคือความต้องการจะเพิ่มขึ้นได้หรือไม่ เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตเพียงระดับ 3% ซึ่งอยู่ในระดับที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคนี้ ประกอบกับต้นทุนค่าเเรงที่สูงกว่าประเทศคู่แข่ง ทำให้แรงจูงใจในการเข้ามาลงทุนอาจลดน้อยลงไป
“ปัจจุบัน AMATA ราคาพื้นฐาน 18.30 บาท และ WHA ราคาพื้นฐาน 3.40 บาท มองราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามาก ทำให้มี Upsideน้อย ขณะที่ตัวเลข FDI ยังไม่ถึงขั้นเป็น Bullish ดังนั้น นักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้ว ก็แนะนำเป็น "ถือลงทุน" แต่ถ้ายังไม่มีหุ้น มองเป็นโอกาสที่ดีเมื่อราคาย่อตัวจนมี Upside มากกว่า 10%”
ฝั่งโบรกเกอร์ “เอเซีย พลัส” ประเมินว่าโครงการ EEC จะหนุนราคาที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20-30% และเมื่อรวมกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี จะช่วยหนุนผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมองว่าหุ้นได้ประโยชน์ตรงจะเป็น AMATA และWHA เพราะมีที่ดินรอพัฒนาอีกมากใน 3 จังหวัดดังกล่าว
โดยปัจจุบัน AMATA มีที่ดินกว่า 1.4 หมื่นไร่ ขณะที่ทาง WHA มีกว่า 1 หมื่นไร่ แต่มีศักยภาพสูงเพราะมีธุรกิจสาธารณูปโภคครบวงจร ทำให้น่าจะได้รับความสนใจที่ดีกว่า
ด้านผู้ประกอบการรายใหญ่อย่าง WHA “จรีพร จารุกรสกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น ให้สัมภาษณ์ว่า โครงการอีสเทิร์น ซีบอร์ด ที่เคยเป็นหัวใจของกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมได้ชะลอลงในช่วงที่ผ่านมา
แต่ในรัฐบาลชุดนี้ มาในรูปแบบ EEC ซึ่งมาทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โลจิสติกส์ รถไฟฟ้า สายการบิน และท่าเรือ รวมถึงแรงจูงใจเรื่องภาษีบีโอไอ ซึ่งมองว่าหากมีความชัดเจนก็จะถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของประเทศ
ปัจจุบัน บริษัทฯได้เตรียมความพร้อมมาแล้วสองปี โดยเฉพาะการรองรับระบบขนส่งสินค้าทางอากาศ (Air Cargo)
ส่วนธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ปัจจุบัน บริษัทฯ มีที่ดินรองรับกว่า 1 หมื่นไร่ ขณะรัฐบาลบอกว่าจะเน้น “10 ซูเปอร์ คลัสเตอร์” ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะสามารถทำยอดขายที่ดินได้กว่า 1 พันไร่ ซึ่งยังไม่นับรวมกับ EEC ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลชัดเจนในปี 2561 โดยล่าสุดเห็นลูกค้าต่างชาติเริ่มมีความตื่นตัวกันแล้ว
WHA ยังมีธุรกิจด้านสาธารณูปโภค คือ บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) ที่ได้ระดมทุนและเข้าซื้อขายใน SET วันที่ 10 เม.ย.นี้ เพื่อขยายธุรกิจรองรับการเติบโตในอนาคตที่คาดว่าจะเห็นความต้องการน้ำและไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยว่า EEC เป็นโครงการความหวังในการเปลี่ยนโฉมภาคการผลิตของประเทศ โดยเน้นการสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับสูง ซึ่งรัฐบาลมีการให้สิทธิประโยชน์มากมายแก่นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนใน EEC รวมไปถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อมต่อการลงทุน
ซึ่งทางศูนย์วิจัยฯ เห็นว่าอุตสาหกรรมและบริการในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่น่าจะเกิดการลงทุนใน EEC ได้ในระยะ 5 ปีแรกนั้น จะเป็นอุตสาหกรรมที่ไทยมีฐานการผลิตอยู่แล้ว หรือมีศักยภาพในการพัฒนาสูง ได้แก่ อุตสาหกรรมการบิน การซ่อมบำรุงอากาศยาน และการผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน บริการโลจิสติกส์และการจัดการห่วงโซ่อุปทาน การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพและสุขภาพ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ และอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และพลาสติก
นอกจากนี้ โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 4-5 ปีข้างหน้าจะมีผลให้มีการเดินทางเข้าสู่ภาคตะวันออกมากขึ้น ช่วยหนุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวมีรายได้สม่ำเสมอทั้งปี

ขณะที่ฝ่ายวิจัยกรุงศรีชี้
3 ธุรกิจ/อุตสาหกรรมเป้าหมาย…เติบโตเร่งขึ้น
ธุรกิจโลจิสติกส์: โอกาสการลงทุนของเอกชนโดดเด่นในกลุ่มคลังสินค้าสมัยใหม่ และ Third Party Logistics Service Provider (3PL) ซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนธุรกิจยุคใหม่ในการลดต้นทุนขนส่งเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน อีกทั้งจากศักยภาพของพื้นที่ในการพัฒนาเชื่อมโยงการค้าโลก
หากโครงการทวายในเมียนมาเปิดดำเนินการ และจีนยังเน้น “Look South Policy” จะช่วยส่งเสริมให้ภาคตะวันออกกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าเชื่อมระหว่างฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดียเข้าด้วยกัน จึงหนุนการเติบโตของธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ทั้งระบบในระยะยาว
อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงและเคมีชีวภาพ: คาดว่าเป็นอุตสาหกรรมที่จะขยับลงทุนก่อนกลุ่มอื่นๆ เนื่องจากไทยมีความพร้อมเป็น “Biodiversity Hotspots” (มีความหลากหลายในการปลูกพืชเชิงพาณิชย์ อาทิ ข้าว อ้อย ยางพารา มันสำปะหลัง)
ซึ่งเป็นโอกาสในการลงทุนธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ และยังสอดรับกับแผนพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทยที่ต้องปรับตัวตามกระแส “Bio Economy” โดยขยายธุรกิจสู่ไบโอพลาสติกและเคมีชีวภาพมากขึ้น
ธุรกิจท่องเที่ยว: ได้อานิสงส์จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตดีหลังการพัฒนา “ท่าอากาศยานอู่ตะเภา” ที่ช่วยดึงเที่ยวบินเช่าเหมาลำบินตรงสู่พัทยา (กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนและรัสเซียที่มีสัดส่วนถึง 45% ของตลาดนักท่องเที่ยวในพัทยา) ขณะที่แผนการพัฒนา “ท่าเรือน้ำลึกจุกเสม็ด” ให้เป็นเมืองท่ารองรับตลาด Luxury tourist จะช่วยสร้างรายได้ให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเพิ่มขึ้นมากจากเดิมที่เน้นตลาด Budget tourist เป็นหลัก
4 ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง…โตโดดเด่น
ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ : ได้แรงหนุนจากโครงการพัฒนาเมืองใหม่ เนื่องจากศักยภาพพื้นที่ที่เป็นทั้งแหล่งงาน แหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งท่องเที่ยว จึงมีการกระจุกตัวของประชากรสูง โดยเฉพาะใน จ.ชลบุรีและระยอง ขณะที่ จ.ฉะเชิงเทราจะเป็นเมืองรองรับการขยายตัวของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกในอนาคต จึงคาดว่าจะมีการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์มากขึ้นจากที่ชะลอมาหลายปี
ธุรกิจค้าปลีกและพื้นที่ค้าปลีก: คาดจะมีการลงทุนเตรียมรับกับประชากรและนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาก แต่เชื่อว่าการแข่งขันที่ดุเดือดจะทำให้ความเสี่ยงออกจากธุรกิจมีสูงเช่นกัน
นิคมอุตสาหกรรม: EEC จะช่วยหนุนศักยภาพนิคมฯ ในภาคตะวันออกให้โดดเด่นเหนือภาคอื่นและเหนือประเทศอื่นในภูมิภาค ทำให้อัตราขายหรือเช่าที่ดินนิคมฯ เขตอุตสาหกรรม รวมทั้งความต้องการเช่าโรงงานขยายตัวจากที่ซบเซามาไม่ต่ำกว่า 3 ปี
ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง: ได้ประโยชน์จากงานก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะงานภาครัฐที่ผู้รับเหมาน่าจะได้ประโยชน์ในทุกกลุ่ม เนื่องจากรัฐบาลมีการแบ่งสัญญาก่อสร้างย่อย ทำให้ผู้รับเหมา SME ในพื้นที่มีโอกาสเข้าถึงและรับงานตรงได้มากขึ้น

ในระยะยาว ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ดีเพียงปัจจัยเดียวคงไม่เพียงพอที่จะดึงการลงทุนให้อยู่ในไทย แต่ปัจจัยเสถียรภาพการเมือง กฎระเบียบที่ชัดเจนและเอื้อต่อเอกชน การยกระดับมาตรฐานบุคลากร/แรงงานไทย รวมทั้งการวางแผนการใช้ทรัพยากรที่ดี โดยเฉพาะทรัพยากร “น้ำ” ในพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำจำกัดอย่างภาคตะวันออก น่าจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้าม เพราะนั่นจะช่วยการันตีว่า ไทยจะสามารถรักษาสถานะการเป็นที่ตั้งของฐานผลิตของโลกได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ส่วนปัจจัยอื่น ๆ ที่นักลงทุนใช้พิจารณา ได้แก่ ความพร้อมด้านแรงงาน เสถียรภาพทางการเมืองและความต่อเนื่องของนโยบาย และสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองของโลกที่เอื้ออำนวย ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เหลือในระยะถัดไป
----------------------------------------
ขอบคุณแหล่งที่มา : Money Channel, ศูนยฺวิจัยกรุงศรีฯ ,http://www.nesdb.go.th