ลักษณะธุรกิจ

ดำเนินธุรกิจศูนย์จัดจำหน่ายสินค้าประเภท "เอ๊าท์เลท" ภายใต้ชื่อ "เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท ซึ่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ประเภทเสื้อผ้า เครื่องนอน เครื่องหนัง เฟอร์นิเจอร์ และของใช้ภายในบ้าน ภายใต้ตราสินค้าของบริษัท และตราสินค้าอื่นๆ ที่เป็น International Brand เป็นส่วนใหญ่

ส่วนที ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล วิเคราะห์ไว้ในรายการ 

- บริษัทดีไซส์สินค้าของเขาเอง และสั่งทำจากซัพพลายเออร์ทั่วโลกที่มีคุณภาพเพื่อมาขายในห้างของตัวเอง คือทำครบวงจร จึงไม่แปลกใจที่มี margin ดีมาก เพราะบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนได้เอง

- การวิเคราะห์บริษัทต้องวิเคราะห์ ความสามารถในการ Outsourcing และจำนวน outlets ของเขาเอง ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะมี 8 แห่ง และจะเพิ่มอีก 2 แห่งในปี 2017 

- รายได้มาจากห้างในศรีราชา ปากช่อง หัวหิน 3 แห่งนี้ทำรายได้ดีมากให้กับบริษัท

- บริษัทเติบโตคู่ไปกับการท่องเที่ยวอีกด้วย ไม่ได้ทำค้าปลีกอย่างเดียว 

- outlets มีพื้นที่ว่างสามารถเปิดพื้นที่ให้เช่าได้ ซึ่งการเช่าจะแบ่งเป็น 2 แบบ คือ Profit Sharing และ Fix rate 

- บริษัทออกแบบสินค้าเองและขายเองมีสัดส่วนรายได้ 46% ที่เหลือเป็นการแบ่งพื้นที่ให้เช่า

- ที่น่าสนใจคือการแบ่งพื้นที่ให้เช่า สามารถบันทึกเป็นกำไรได้เลยไม่จำเป็นต้องนำมาลบกับ Cost of good sold ตรงนี้น่าสนใจมาก

- สัดส่วนสินค้าประเภทเสื้อผ้าสัดส่วนรายได้ 20% และที่ไม่ใช่เสื้อผ้าประมาณ 46% .. 2 อันแรกเป็นสินค้าเฮาส์แบรน์ของบริษัทเอง ส่วนที่เหลือประมาณ 30% เป็นการนำสินค้าของแบรนอื่นมาวางขาย

- จำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นมาอีก 2 แห่ง รายได้จะมากขึ้นเติบโตแบบ Organic Growth ในปีถัดๆไป 1- 2 ปีได้

- คำถามสำคัญ คือ บริษัทจะหาเส้นทางเปิดเพิ่มได้อย่างไร ? 

- บริษัทจะเร่งหาพื้นที่ว่าง ให้ผู้เช่ามาเช่าพื้นที่ได้มากน้อยแค่ไหน แต่บริษัทได้เปรียบในความเป็นผู้นำ outlets และเป็นเจ้าแรกๆที่ทำธุรกิจนี้

- ราคาหุ้นขึ้นมาสูง 2-3 เท่าตัว จากราคา IPO แสดงว่านักลงทุนคาดหวังการเติบโตอยู่กับบริษัทนี้ ราคาปัจจุบันยังไม่ทะท้อนถึงจำนวน outlets ที่เพิ่มขึ้น 

- บริษัทจะเติบโตอย่างที่นักลงทุนหวังได้ไหม ตรงนี้ต้องติดตามต่อ 

ส่วนที ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร วิเคราะห์ไว้ในรายการ

- โมเดลธุรกิจเขาน่าสนใจมาก เป็น First Mover ด้วย คือเป็นรายแรกๆที่ทำแบบนี้

- ผมรู้สึกว่าบริษัทนี้ทำมาร์เก็ตติ่งเก่งมาก ผมชอบไปหัวหิน ก่อนจะถึงห้าง FN ประมาณ 100 กิโลเมตร จะมีโฆษณามาก่อนเลย และบอกเป็นระยะทางไม่มีทางหลงแน่นอน และเขาก็อยู่ในจุดที่ดีนะ คือคนขับรถจากกรุงเทพมานาน ลงไปเดินเล่นก็เป็นกิจกรรมครอบครัวที่น่าสนใจ

- ผมคิดว่าสินค้าของเขาก็ดูน่าสนใจ ผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก สามารถเข้าไปดู เข้าไปช็อปได้หมด สินค้าราคาไม่ถูกแต่ก็ไม่ได้แพงมาก

- ผมมองว่าธุรกิจนี้ไม่มี Barrier คือคู่แข่งก็สามารถเข้ามาทำได้ ที่ดินรอบๆว่างมาก รายใหญ่มาซื้อที่จำนวนมากเปิดเองเลย เห็นไหม! คู่แข่งเพิ่ม ใครๆก็เข้ามาได้ง่าย นักท่องเที่ยว ผู้บริโภคมีตัวเลือกเยอะ

- เอาจริงๆแล้วธุรกิจนี้ถ้าไม่เปิดตามเส้นทางที่คนท่องเทียวก็เป็นเรื่องยากแล้ว 

- ผมไปต่างประเทศอย่างออสเตรียแบบนี้ คือ คนจำเป็นต้องไปเพราะ  outlets นี้มันมีจุดเด่นนะ มันขายของถูกมาก มันเป็น Destination เลย แต่สำหรับ FN แล้วมันเป็นแค่ทางผ่าน มันไม่ใช่ Destination ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญมาก เพราะเป็นแค่ทางผ่านคือจะซื้อก็ได้ ไม่ซื้อก็ได้ ทำรายได้มากในเสาร์ อาทิตย์หรือวันหยุดราชการ แต่ถ้าเป็นวันธรรมดาก็รายได้น้อยไปเลยเพราะเป็นแค่ทางผ่าน !

- ถือเป็นธุรกิจค้าปลีก หุ้นนี้นี้ใช้ค่า PE PBV ธรรมดาประเมินมูลค่าหุ้นได้เลย เพื่อมองว่าหุ้นถูกหรือหุ้นแพง

- คำว่า Destination ของผมหมายถึง .. ไม่ใช่ทางผ่าน คนขับรถมาเจาะจงเข้าที่นี้เพื่อมาซื้อสินค้าที่นี้เลย ซึ่งมันจะแตกต่างกับธุรกิจปัจจุบัน สมมุติว่าผมเปิดสาขาใหม่ตรงนี้ ผมเจาะตลาดเลยคนรอบนอก 30-40 กิโลเมตร จะต้องขับรถเพื่อมาซื้อของใน  outlets ของผม ไม่ใช่หวังแค่นักท่องเที่ยวที่ขับรถผ่านเท่านั้น  
 

- จากอดีตที่ยอดขายเติบโตได้ คิดว่ามาจากการขยายสาขา อาจไม่ได้เติโตจากยอดขายของสาขาที่เพิ่มขึ้นเอง 

- ถ้าเปลี่ยนโมเดล ผมบอกว่าผมเปิดกลางเมืองเลย ไม่ใช่รอบนอกอีกแล้ว ตรงนี้เป็นโมเดลธุรกิจที่แตกต่างแล้วนะ ต้องประเมินมูลค่าใหม่ ถือเป็นโมเดลธุรกิจที่ท้าทายน่าสนใจ


- คำถามสำคัญ คือ ตอนนี้เส้นทางมีจำกัด คู่แข่งก็เพิ่มมากขึ้น บริษัทจะทำอย่างไรต่อไป .. ? 

----------------------
 

ขอบคุณแหล่งข้อมูล รายการ Business Model ช่อง Money Channel