ถ้าตามดูกันมาจะเห็นว่า ถ้าไม่นับหุ้นกลุ่มลีสซิ่ง หุ้นขนาดกลางที่ไม่ค่อยส่งผลกับดัชนีแล้วล่ะก็ หุ้นที่เป็นตัวผลักดันดัชนีขึ้นมารอบนี้ มีแค่ 2 ตัวหลักคือ PTT กับ PTTEP จริงๆด้วย แต่ก็ด้วยความใหญ่ของหุ้น ทำให้ดัชนีสามารถฝ่าแนวต้านเดิมขึ้นมาทดสอบแนวต้านที่ 1530 จุดได้

อย่างไรก็ตาม หุ้นทั้ง PTT PTTEP ปรับตัวขึ้นมาอย่างร้อนแรง และดูเหมือนว่าจะเร็วจนเกินไป การผลักดันดัชนีให้กลับมา น่าจะต้องอาศัยแรงหนุนจากหุ้นใหญ่ในกลุ่มอื่นมาช่วยกันด้วย แต่เราก็ยังไม่เห็นภาพนั้น จะมีก็กลุ่มธนาคารที่ดีดตัวขึ้นเล็กน้อย และหุ้น INTUCH ADVANC ที่เล่นประเด็นเรื่องข่าวลือเข้าซื้อ JAS เมื่อวานนี้

เห็น PTT กับ PTTEP แล้วก็นึกสงสาร ทั้งตลาดจะไม่มีคนไล่หุ้นอื่นขึ้นมาแล้วหรือ?? หากยังไม่มีจริงๆ ตลาดน่าจะต้องมีการปรับฐานลงไปบ้าง และไปสะสมกำลังกันขึ้นมาใหม่

สัปดาห์หน้าเราจะเริ่มต้นด้วยการประชุม FOMC ซึ่งต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ รวมถึงตลาดก็คาดการณ์กันแล้วว่า Fed คงจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแน่นอนในครั้งนี้ แต่สิ่งที่ต้องตามกันต่อก็คือ มุมมองที่จะให้ในอนาคต มันจะส่งผลต่อคาดการณ์ว่า ปี 2017 Fed น่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีกกี่ครั้ง

หากการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้าถูกปรับมุมมองให้เพิ่มมากขึ้น ตลาดหุ้นไทยอาจจะโดนเทขายได้อีกระลอก เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์จะแข็งขึ้น กดให้เงินบาทอ่อน และนักลงทุนต่างชาติอาจจะขายหุ้นออกมาอีกครั้ง

Valuation ของหุ้นไทย ณ จุดนี้ ไม่ได้ถูกแล้ว แม้นักวิเคราะห์จะยังคงมีมุมมองเชิงบวกอยู่บ้าง แต่ก็เป็นภาพทางเทคนิคและกลยุทธเสียมากกว่า ในแง่พื้นฐาน เศรษฐกิจบ้านเรายังไม่ได้ฟื้นมากมายนัก

ดังนั้น การเข้าซื้อที่ระดับดัชนีที่สูงเช่นนี้ จึงต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น เพราะตลาดจะอ่อนไหวต่อปัจจัยลบที่เข้ามาได้ง่าย และเน้นการซื้อหุ้นแบบ selective buy นั่นคือ เล่นกลุ่มที่คาดว่าจะมีข่าวดี หรือปัจจัยสนับสนุนทางด้านบวก อย่าเล่นแบบเหวี่ยงแห เพราะมันไม่ใช่จุดที่เล่นตัวไหนก็ขึ้น