ช่วงที่ตลาดหุ้นเริ่มเป็นนิยมของคนรุ่นใหม่ กระแสการเป็นเทรดเดอร์อิสระ หรือ ฟรีด้อมเทรดเดอร์ (Full-Time Trader) จึงได้รับความสนใจจากคนรุ่นใหม่อย่างมาก
จึงขอถ่ายทอดเรื่องราวประสบการณ์ของเทรดเดอร์มืออาชีพชื่อดังอีกคนหนึ่งของไทย ที่ได้รับการยอมรับระดับประเทศ เชื่อว่าหลายๆ คนคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว ดังต่อไปนี้
ผมนั่งอ่านเว๊บไปเรื่อยๆ และได้นึกถึงบทความนึงที่พูดถึงขั้นตอนของการเป็นเทรดเดอร์ ประมาณเทรดบนจิตใต้สำนัก หรือที่เรียกว่า อยู่ในโซน ที่ฮิตๆ กัน
.
ผมว่าเรื่องนี้น่าสนใจนะ เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็พูดถึงแต่ผมว่าไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ นะ ต้องอาศัยประสบการณ์และความเข้าใจกลไกตลาดที่ลึกซึ้งจนสามารถเทรดโดยไม่ต้องคิดเยอะได้
.
อารมณ์เหมือนคนขับรถเก่งๆ เขาคงไม่ได้คิดหรอกว่าจะมานั่งเปลี่ยนเป็นเกียร์ไหน มันรู้เอง
ประเด็นคือเทรดไปแล้วจะได้แบบนี้ทุกคนเลยเหรอ?
ผมจึงอยากแชร์ขั้นตอนของการเป็นเทรดเดอร์อีกแบบ "เท่ห์น้อยกว่า แต่สะท้อนความจริงไม่น้อยกว่ากัน"
อยากให้พวกเราลองอ่านลองฟังกันดูนะครับ
ช่วงที่ 0. เข้ามาแบบงงๆ
เพื่อนชวน ที่ทำงานชวน ไปเดินงานมหกรรมการเงินฯ จับพลัดจับผลูมีพอร์ตหุ้นแล้ว ถ้าเริ่มซื้อขาย ก็จะกำไรแบบฟลุ๊คๆ ขาดทุนแบบงงๆ ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องแต่ปกติครับ
.
น้อยคนที่จะวางแผนหรือศึกษาอย่างดีก่อนเข้าตลาดหุ้น ผมก็เริ่มเทรดก่อนเริ่มศึกษาเหมือนกัน!
.
แต่ความน่ากลัวมันอยู่ตรงนี้ครับ ถ้าเริ่มเข้ามาช่วงตลาดดี ซื้อหุ้นปุ๊ปกำไรปั๊ป เราจะเกิดความคิดว่าตลาดง่าย และส่วนใหญ่เริ่มเข้ามาตอนตลาดดีมากๆ ด้วย มองแต่ทำกำไรและละเลยเรื่องความเสี่ยง !
.
เวลาคนพูดเรื่องความเสี่ยงก็ฟังนะครับ แต่จะคิดว่าเราเอาอยู่ เราไม่เจ๊งหุ้นหรอก เพราะเราระวังตัวในระดับนึงแล้ว โดยความประมาทนี้ไม่ต่างกับคนที่เดินข้ามถนนและถูกรถชนนะครับ
.
ทุกคนที่โดนชนคิดว่าระวังตัวดีในระดับนึงข้ามแล้วน่าจะพ้น ประเด็นคือมันไม่พ้น ทุกคนที่เจ๊งหุ้นคิดว่ารับมือกับความเสี่ยง/ความผันผวนตลาดได้
.
ในขณะตลาดหุ้นให้โอกาสสร้างความร่ำรวยได้จริง ต้องเข้าใจว่ามันวางอยู่บนกลไกที่แตกต่างออกไป คือกลไกที่ผลประโยชน์เป็นตัวตั้ง ส่วนความชอบธรรม จรรยาบรรณ หรือมิตรภาพอาจเป็นเรื่องรองลงมา
.
ทำให้ตลาดหุ้นเป็นที่ๆ อำมหิตที่สุด ยิ่งเล่นกับความโลภ-ความกลัวของคนอีกด้วยนะ ใครที่เข้ามาแบบงงๆ คิดว่าเป็นเงินที่ล่องลอยอยู่
พร้อมให้เอื้อมเข้าไปหยิบ ระวังจะแขนขาได้ง่ายๆ ถ้าไม่เจ๊งหมดตัวในตอนนี้ก็จะเริ่มเข้าสู่ช่วงที่ 1 ครับ
ช่วงที่ 1. กระหายวิชา - หาอาจารย์
พอเริ่มรู้จักความน่ากลัวของตลาด จะเข้าใจทันทีว่า "ต้องรู้มากกว่านี้" ซึ่งที่เห็นหลักๆ จะแยกเป็น 2 แบบคือ
1) ตามวิชา สมมุติสนใจเรื่องการวิเคราะห์ด้วยเทคนิค ก็จะเริ่มหาหนังสือมาอ่าน เข้าคอร์ส เปิดเว๊บ แต่ยังไม่ปักใจกับแนวไหนหรือแนวใครเป็นพิเศษ และ
.
2) ตามคน อาจด้วยศรัทธาและความชื่นชมตัวบุคคลว่าลงทุนประสบความสำเร็จฯ ก็จะเลือกรับแนวของคนนั้น อ่านหนังสือที่เขาอ่าน ใช้เครื่องมือที่เขาใช้ เป็นต้น
.
ทั้ง 2 แบบดีแตกต่างกันออกไปแล้วแต่จริต ส่วนใหญ่นั้นเราจะตามคน ซึ่งผมว่าดีเลยนะ วิธีที่เขาใช้มันก็มันขบวนการลองผิดลองถูก ผ่านการกรองมาแล้ว เราไม่ต้องไปลองผิดลองถูกเองที่อาจเสียเวลามาก
.
แต่อยากให้ระวังเรื่องศรัทธา เพราะเราจะเขวได้ กลายเป็นคิดว่าเราจะต้องใช้แนวทางหรือวิธีที่เขาใช้เท่านั้น วิธีที่เขาไม่ใช้เราไม่ควรใช้ไปด้วย ซึ่งอาจเป็นการเสียดายหรือบางครั้งกลายเป็นความอันตรายได้
.
ในมุมมองผม วิชา/แนวทางการลงทุนที่ดี ไม่ใช่ซื้อหุ้นแล้วกำไรทุกครั้งนะครับ การลงทุนมีโอกาสพลาดเสมอ ถ้าอยากเก่งแบบที่ไปโชว์กำไรได้ตลอดไม่มีขาดทุน ต้องไปฝึกตัดต่อรูปครับไม่ใช่ฝึกเทรด !
วิชาที่ดีคือ องค์ความรู้ที่มีตรรกะลำดับถูกต้องชัดเจน สามารถตีแตกเป็นข้อๆ ปิดประตูเสี่ยงในแต่ละส่วนได้
และสร้างผลตอบแทนขั้นต่ำในระดับที่เราพึงพอใจ ย้ำ! ขั้นต่ำนะครับ อย่าไปให้ความสำคัญว่าระบบนี้แนวนี้ทำได้สูงสุดเท่าไร ตลาดดีๆ ทุกแนวกำไรเยอะหมด
ให้พิจารณาว่าเราพึงพอใจกับผลตอบแทนขั้นต่ำที่แนวนี้ทำได้หรือไม่ มันจะระยะยาวมากกว่า
ช่วงที่ 2. บ่มวิชา
ค้นหาตัวตน ชั่วโมงบินในตลาดที่มากขึ้นจะช่วยให้เรามองโจทย์การลงทุนตัวเองได้ชัดมากขึ้น และเราอาจคิดว่าโจทย์การลงทุนคือการสร้างผลตอบแทนสูงสุด ร่ำรวยเป็นเศรษฐีหุ้น
.
แต่มันไม่เสมอไปนะ เราอาจไม่ได้ต้องการใช้เวลาทั้งหมดไปกับการหาจังหวะทำกำไรในตลาดหุ้นนะ
.
เราอาจต้องการเพียงผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจและใช้เวลาเท่าที่จำเป็นกับหุ้นก็ได้ การดูหุ้นทั้งวันไม่ใช่อิสรภาพทางการเงินนะ ผมนี่ตัวดูหุ้นทั้งวันเลย มีเงินแต่ไม่มีอิสระ !
จะหาตัวเองเจอ โจทย์ต้องชัด สำหรับผม เราเริ่มที่เป้าหมายใหญ่ไปชีวิต และคิดย้อนกลับมา ถ้ายังมองโจทย์ชีวิตตัวเองไม่ชัด คุณควรต้องหาเวลาอยู่กับตัวเอง ไม่ใช่แค่อยู่บ้านนะครับ แต่ให้เวลาพินิจพิเคราะห์ตัวเองอย่างละเอียด
.
การไปบวชหรือวิเวกตัวเองช่วยได้ ถ้าเราพอมองภาพออกว่าอีก 30 ปีข้างหน้าเราต้องการ Life style อย่างไร
.
ก็จะพอรู้ว่าต้องทำอย่างไรในวันนี้เพื่อให้ได้ Life style ที่เราต้องการ เราอาจแค่ต้องการเทรดเพื่อเป็นกระสุน รอซื้อหุ้นดีถือยาวๆ กินปันผลก็เป็นได้
3. กลับคืนสู่สามัญ
ปีนี้ขึ้นปีที่ 7 ในการออกมาเทรดเต็มตัวของผม ผมยังจำช่วงเวลาที่วิเคราะห์เทคนิคละเอียดมากๆ ดูความสัมพันธ์ระหว่างราคากับอินดี้ ดูความสัมพันธ์ระหว่างอินดี้ด้วยกันเอง ฯลฯ
.
ผมถึงขั้นพัฒนาหลักการดูรอบ RSI เพื่อจับหลักในการนับ Elliott wave เรียกว่าเยอะครับ ซึ่งจังหวะชีวิตช่วงนั้นมันก็ใช่แล้ว
.
เพราะคิดว่าถ้าจะรู้ถ้าจะเข้าใจ ก็ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ จะรู้แบบกะๆ ไม่ได้ ซึ่งทั้งหมดนั้นมันช่วยให้เราเข้าใจกลไกราคาในเชิงลึกนะ แต่จะไม่ได้ท่ายากแบบนั้นไปตลอดหรอกครับ
.
ผมเชื่อว่าในที่สุดเทรดเดอร์ทุกคนที่บ่มชั่วโมงบินมากพอจะกลับคืนสู่สามัญ หยิบเครื่องมือมาใช้เท่าที่จำเป็น มี MM ที่เหมาะกับตัวเอง และจัดจะเต็มเมื่อชัดเท่านั้น ไม่ชัดอยู่เฉยๆ "รอ" ได้อย่างแท้จริง ไม่มีวัดดวง ไม่ต้องเฝ้า
.
และสร้างผลตอบแทนขั้นต่ำที่ตัวเองพึงพอใจได้ ไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไรก็ตาม. ผมว่านี่คือขั้นสูงสุดของการเป็นเทรดเดอร์ตัวจริงครับ
ขอบคุณข้อคิดดีๆ จาก : หยง เกิดมาเทรด
...ปุกาศ ข่าวดี การกลับมาอีกครั้ง อย่ารอช้า...
"หยง Monkey Trader"
>>> คอร์สเทคนิคอลมือใหม่(หรือเก๋า) <<<
ส.-อา.ที่ 14-15 ม.ค. , 21-22 ม.ค.60
เวลา : 09.30-16.30 น.
คลิกเลยที่ :
http://www.stock2morrow.com/course/seminar_courses_list.php?id=41
“หยง Monkey Trader” ต้นแบบเทรดเดอร์ระดับอินเตอร์
“ธำรงชัย เอกอมรวงศ์” ในอีกชื่อที่วงการเทรดเดอร์รู้จักกันเป็นอย่างดีคือ "หยง Monkey Trader"
เขาคือนักลงทุนรุ่นใหม่อายุเพียง 34 ปี เป็นเทรดเดอร์ระดับอินเตอร์ที่เทรดในตลาดต่างประเทศ
และเป็นแบบฉบับของ Freedom Trader หรือ Fulltime Trader ซึ่งเทรดหุ้นเป็นอาชีพหลัก
มีความทุ่มเทให้การเทรดอย่างจริงจัง
ด้วยฝีมือระดับเซียนที่วงการยกให้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้จริง
ในศาสตร์ของ... “Technical analysis” อย่างลึกซึ้ง