เช้าวันนี้หลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ โลกของเรากำลังหันหลังกลับไปสู่สภาวะเมื่อ 27 ปีที่แล้วอย่างเงียบ ๆ
มีน้อยคนนักที่จะจำได้ว่าเมื่อ 27 ปีที่แล้วหลังวันเลือกตั้งสหรัฐฯ ปีนี้ 1 วันมีความสำคัญอย่างไรต่อเศรษฐกิจโลก
วันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1989 เป็นวันที่กำแพงเบอร์ลินล่มสลาย
การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินถือเป็น “สัญญาน” ที่บ่งบอกถึงการมาของยุคโลกาภิวัฒน์และการเปิดเสรีการค้าโดยรัฐบาลทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หลังจากนั้นเป็นต้นมาเราได้เห็นการเคลื่อนที่ของสินค้าและเงินตราไปทั่วโลก เยอร์มันกลับมาเป็นปึกแผ่นและทำหน้าที่เป็นเสาหลักของสหภาพยุโรป ประเทศที่เคยยากไร้แต่มุ่งมั่นเปิดประเทศสามารถก้าวกระโดดขึ้นมามีบทบาทบนเวทีเศรษฐกิจโลกได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ปัญหาคือตอนนี้ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ดูเหมือนว่ายุคโลกาภิวัฒน์ซึ่งเป็นยุคทองของการค้าระหว่างประเทศกำลังเข้าสู่จุดอิ่มตัวและมีแต่กระแสต่อต้านโลกาภิวัฒน์รุมล้อมจากทุกทิศทาง
ในไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเราได้เห็นความแตกแยกในสหภาพยุโรปจากเหตุการณ์ Brexit และการพยายามปิดกั้นการลงนามสัญญาการค้าเสรี CETA ในประเทศเบลเยียม ทางฝั่งอเมริกาเราได้เห็นโดนัลด์ ทรัมป์หว่านและเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์เหยียดชนชาติที่เป็นที่นิยมอย่างน่าตกใจ ได้เห็นฮิลลารี คลินตันยอมทิ้งอุดมการณ์ความฝันเรื่องการค้าเสรีของเธอเพื่อไม่ฝืนต้านกระแสประชาชน ในแถบแอฟริกาเราก็ได้เห็นประเทศแกมเบียถอนตัวออกจากศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)
และล่าสุดทรัมป์ถือเป็นผู้ตอกโลงบอกลายุคทองของโลกาภิวัฒน์และการค้าเสรีไปอย่างเรียบร้อยโรงเรียนจีน
ทำไมภาวะการค้าถดถอยถึงอันตราย
เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาองค์กรการค้าโลก (WTO) ได้ออกมาปรับการคาดการณ์ว่าปีนี้จะเป็นปีแรกในรอบ 15 ปีที่การค้าโลกขยายตัวช้ากว่าเศรษฐกิจโลก
ที่การคาดการณ์ครั้งนี้ถือเป็นลางร้ายสำหรับทุกประเทศเป็นเพราะว่าปากท้องของคนจำนวนมากไม่ว่าจะมาจากประเทศที่พัฒนาแล้วหรือกำลังพัฒนานั้นเดิมพันกับการค้าระหว่างประเทศ การค้าระหว่างประเทศนั้นเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดในการดึงผู้คนหลายพันล้านคนในเศรษฐกิจที่ด้อยและกำลังพัฒนาขึ้นมาอยู่เหนือเส้นความยากจน ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้วก็ได้รับประโยชน์จากราคาสินค้าที่ราคาถูกลง อีกทั้งยังได้อานิสงส์จากการปลดล๊อคเอาทรัพยากรอันจำกัดของตนไปผลิตสินค้าอื่น ๆ ที่มีมูลค่ามากกว่าเพื่อนำไปขายในตลาดโลกแทน
รอบนี้เท่ากับว่า “อด” กันถ้วนหน้า
นักเศรษฐศาสตร์ได้ออกมาให้ความเห็นว่าปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดภาวะนี้คือ 1) การขยายตัวของภาคบริการในหลาย ๆ เศรษฐกิจ (ซึ่งแม้จะเป็นไปตามธรรมชาติของการพัฒนาเศรษฐกิจแต่การบริการนั้นเอามาค้าข้ามประเทศได้ลำบาก) 2) การปรับหางเสือของประเทศจีนเพื่อพึ่งพาการส่งออกน้อยลง และ 3) การชราภาพของประชากรในเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วทำให้กำลังซื้อก็ชราภาพถดถอยตามไปด้วย
ผู้เขียนมองว่าภาวะนี้จะยิ่งทวีความรุนแรงเนื่องจากความร้อนแรงของกระแสต่อต้านโลกาภิวัฒน์ที่กำลังพบเห็นได้ในโลกตะวันตก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วความเคลื่อนไหวนี้มาจากกลุ่มคนที่เป็น “ผู้แพ้” จากยุคทองของการค้าเสรีซึ่งมีส่วนทำให้เศรษฐกิจโลกมีการเชื่อมต่อกันมากขึ้น
การค้าถดถอยกระทบใครเป็นพิเศษ?
คงไม่มีธุรกิจใดในโลกที่สามารถหลบเลี่ยงผลกระทบทั้งหมดที่จะเกิดจากภาวะการค้าโลกถดถอยได้ แต่ยังพอมีทางเลือกที่เราควรจับตามองเพื่อเป็นการป้องกันตัวเองในภาวะนี้
กลุ่มแรกคือบริษัทที่เคยได้รับผลประโยชน์จากกระแสโลกาภิวัฒน์ โดยเฉลี่ยแล้วบริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่ม S&P500 นั้นมีรายได้จากนอกสหรัฐฯ ถึงกว่า 50 % (http://www.marketwatch.com/story/sp-500-companies-generate-barely-over-half-their-revenue-at-home-2015-08-19) ผู้เขียนเองก็ไม่เคยทราบมาก่อนว่าตัวเลขนี้จะสูงถึง 50% นั่นแปลว่าบริษัทเหล่านี้เคยพึ่งพาการค้าโลกอย่างมากและอาจถูกกระทบทางลบได้ หากรัฐบาลทั่วโลกเริ่มงัดนโยบายการค้าแบบคุ้มกันขึ้นมาใช้ใส่กันจริง ๆ อาจถึงคราวที่บริษัทจำพวก National Champion หรือ รัฐวิสาหกิจที่จะได้รับสิทธิพิเศษจะกลับมาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจขึ้นอีกครั้งสำหรับนักลงทุน
กลุ่มที่สองคือบริษัทที่ผูกกับการค้าโลกโดยตรง อันนี้ค่อนข้างชัดเจนจนไม่ต้องอธิบาย ยกตัวอย่าง เช่น บริษัทเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ อย่าง Maerks หรือบริษัทขนส่งสินค้าทั่วโลกอย่าง FedEx ซึ่งจะถูกกระทบอย่างแน่นอนในภาวะการค้าโลกถดถอย
กลุ่มที่สามคือบริษัทที่แปรผันตามความไม่สงบหรือกระแสความตึงเครียดของการเมืองโลกได้ง่าย เช่น บริษัทน้ำมันและบริษัทค้าอาวุธอย่าง Lockheed Martin (ทั้งนี้ผู้เขียนไม่แนะนำให้สนับสนุนการค้าอาวุธนะครับ แค่เป็นตัวอย่างทางการศึกษา) เหตุผลหลัก ๆ คือ การลดความเชื่อมต่อทางการค้าระหว่างประเทศถือเป็นการลด commitment และไมตรีจิตที่ประเทศมีต่อกัน จึงมีโอกาสที่เราจะได้เห็นสถานการณ์การเมืองโลกที่ตึงเครียดมากขึ้น (อ่านเกี่ยวกับแนวคิดนี้เพิ่มเติมได้ในหนังสือชื่อ Triangulating Peace โดย John Oneal และ Bruce Russett) นอกจากนี้สินทรัพย์ที่นักลงทุนมองว่าเป็น safe haven ก็มักจะเป็นที่ต้องการมากขึ้นเมื่อเกิดแนวโน้มของความไม่แน่นอนหรือความไม่สงบมากขึ้น
แนวโน้ม
ขณะนี้ทรัมป์ไม่ได้เป็นแค่ผู้นำสหรัฐฯ เท่านั้น แต่เป็นเหมือนหัวหอกสำคัญของกระแสต่อต้านโลกาภิวัฒน์และการค้าโลกด้วย
หากทรัมป์ปฏิบัติตามสิ่งที่ตนเองพูดไว้จริง ๆ (ซึ่งเรายังต้องจำไว้ว่าเขาเป็นคนที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่บ่อยครั้ง) คำถามสำคัญสำหรับเศรษฐกิจในเอเชียคือ สหรัฐฯ จะเข้ามามีบทบาทอย่างไรในทวีปนี้
คำถามนี้ถึงเป็นผู้เชี่ยวชาญการต่างประเทศก็ยังต้องเกาหัวเนื่องจากคุณต้องอ่านใจทรัมป์ แต่ถึงจุดนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้วว่าทรัมป์จะมาเป็นผู้นำเขตการค้าเสรีที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเหมือนคราวที่โอบามาตั้งใจเดินหมากในเอเชีย (Pivot to Asia)
หากถามว่าสหรัฐฯ จะยังเข้าไปคานอำนาจจีนไหม ก็คงจะใช่ แต่จะเข้าไปงัดข้อกับจีนผ่านช่องทางไหนนั้นหลายคนกำลังหวาดหวั่นเหลือเกิน (หุ้น Lockheed Martin ขึ้นไปกว่า 6% หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดภายในแค่ 1 ชั่วโมง)
ยุคนี้จึงถือเป็นยุคแห่งความท้าทายระดับพระกาฬสำหรับนักลงทุน เพราะนอกจาก fundamentals จะไม่เอื้อแล้ว ยังมีปัจจัยก่อกวนอื่น ๆ ที่จะมาเป็นการขัดขาขณะลงเขาอย่างไม่จำเป็นอีกด้วย
ติดตามบทวิเคราะห์จากมุมมองเศรษฐศาสตร์ที่เข้าใจง่ายได้ที่ www.settakid.com ครับ