#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน

ดีลเทคโอเวอร์ที่น่าสนใจ

โดย กิติชัย เตชะงามเลิศ
เผยแพร่:
372 views


    สองสัปดาห์ก่อนผมเขียนถึงเรื่อง “ทำไมปลาใหญ่ชอบกินปลาเล็ก” ได้รับความสนใจพอควรสัปดาห์นี้จึงขอยกดีลเทคโอเวอร์ที่น่าสนใจในอดีตมาเล่าสู่กันฟัง

1) ดีล BIGC เทคโอเวอร์ Carrefour ในปี พ.ศ.2553 ด้วยวงเงิน 35,500 ล้านบาทได้สาขาของ Carrefour มาทั้งหมด 42 สาขา ซึ่งทำให้ BIGC กลายเป็นรายใหญ่ในวงการ Hyper market คือมี 103 สาขา (Tesco Lotus มี 116 สาขา) โดยใช้เงินกู้จากธนาคารเป็นจำนวนเงิน 38,000 ล้านบาทเพื่อสำหรับดีลนี้และการขยายตัวในอนาคต ดีลนี้ได้ทำให้ยอดขายรวมของ BIGC เดิมที่ 70,000 ล้านบาท/ปี บวกกับยอดขายของ Carrefour อีกประมาณ 40,000 ล้านบาท จนกลายเป็นรายได้รวมหลังเทคโอเวอร์ไปอยู่ที่ 110,000 ล้านบาทต่อปี เป็นการเติบโตแบบ Inorganic growth ยอดขายของ BIGC สูสีกับ Tesco Lotus มากขึ้น เพิ่มความสามารถในการแข่งขันและกำจัดคู่แข่งอย่าง Carrefour ให้ออกไปจากตลาด เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกถึง 2 ตัว นอกจากนั้นยังทำให้ BIGC เองสามารถเพิ่มอำนาจในการต่อรองกับ Supplier มากขึ้น ไม่ว่าจะขอค่าจัดวางของบนชั้นวางสินค้าบางตำแหน่ง ค่านำสินค้าแรกเข้าสู่ระบบ ค่าโปรโมชั่นต่างๆ ฯลฯ ในอัตราที่สูงขึ้นจากยอดขายที่รวมของ 2 ห้างเข้าด้วยกัน และ Economy of scale ที่มีจำนวนสาขามากขึ้นและการใช้ประโยชน์จากศูนย์กระจายสินค้าได้เต็มที่มากขึ้น เรามาดูยอดขายของ BIGC ก่อนควบรวมกับ Carrefour ปี 2553 BIGC มียอดขาย 74,457 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,887 ล้านบาท หลังควบรวมแล้วปี 2554 BIGC มียอดขาย 109,548 ล้านบาท กำไรสุทธิ 5,242 ล้านบาท เมื่อดูยอดขายปรากฏว่าปี 2554 ยอดขายรวมจะเท่ากับยอดขายปี 2553 ของ BIGC รวมกับของ Carrefour เท่านั้น แทบไม่มีการเติบโตเลย อาจจะเป็นช่วงปรับเปลี่ยนระบบทุกๆ อย่างให้เป็นระบบเดียวกันและส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่าช่วงปลายปี เกิดน้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทยและปี 2555 ยอดขายก็เพิ่มเป็น 120,062 ล้านบาท โดขึ้น 10,514 ล้านบาท หรือ 9.60% ส่วนหนึ่งมาจากฐานที่ต่ำในปี 2554 ด้วย

เมื่อกล่าวถึงดีล BIGC ควบรวม Carrefour แล้วจะไม่กล่าวถึงดีล CPALL เทคโอเวอร์ MAKRO ได้อย่างไร

2) ดีล CPALL เทคโอเวอร์ MAKRO ดีลนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2556 มูลค่าถึงเกือบ 200,000 ล้านบาท นับเป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย โดย CPALL ได้ซื้อหุ้น MAKRO จากบริษัท SHV NETHERLAND BV. 154,429,500 หุ้นคิดเป็น 64.35% ของทุนจดทะเบียนและทำ Tender offer จากผู้ถือหุ้นรายย่อยในราคา 787 บาท (P/E 56 = 53 เท่า) เท่ากัน โดยก่อนที่จะมีข่าวนี้ ตอนนั้น MAKRO มีราคาเพียง 500 กว่าบาทเท่านั้น นับเป็นค่า Goodwill ที่มีมูลค่ามหาศาลมากๆ เลยทีเดียว โดย CPALL จะได้ MAKRO 57 สาขา และ Siam frozen อีก 5 สาขา ท่านผู้อ่านลองเปรียบเทียบดูกับดีล BIGC เอาเองละกันครับ นอกจากนั้นผมเห็นว่าดีล MAKRO CPALL จะได้ SYNERGY น้อยกว่าดีลของ BIGC เพราะว่าธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-11 กับธุรกิจ Cash & Carry ลักษณะขายส่งของ MAKRO แตกต่างกันและจำนวน Item ของสินค้าที่ซ้ำกันของ 7-11 กับ MAKRO มีไม่น่าจะมาก การที่ทาง 7-11 และ MAKRO จะมีอำนาจต่อรองทางการค้ามากขึ้นก็เฉพาะสินค้า Item ที่ซ้ำกัน โดยอาศัยข้ออ้างจากจำนวนซื้อที่มากขึ้นจากการรวมยอดสั่งซื้อของทั้ง 2 เข้าด้วยกัน แต่อาจจะมีข้อดีอยู่บ้างตรงที่ CPALL เองจะมีอำนาจครอบคลุมธุรกิจทั้งค้าส่งและค้าปลีก โดยที่ลูกค้าของ MAKRO ส่วนใหญ่จะเป็นร้านโชห่วยและธุรกิจ HORECA (Hotel, Restaurant และ Catering) นั่นหมายถึง CPALL จะเข้าครอบครองหรือมีอิทธิพลในธุรกิจค้าปลีกส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงจริงๆ ไม่รู้จะคุ้มหรือไม่ หรือถ้าคุ้มอีกกี่ปีถึงจะคุ้ม ในขณะที่ BIGC สามารถกำจัดคู่แข่งที่สำคัญไป 1 ราย พร้อมกับถีบตัวเองขึ้นมาให้เป็นคู่แข่งขันที่สูสีกับ Tesco Lotus และอำนาจต่อรองทางการค้ากับ Supplier ต่างๆ ที่มากขึ้น เนื่องจากจำนวน Item สินค้าของทั้ง BIGC และ CARREFOUR นั้นแทบจะซ้ำกันเกือบทั้งหมด นี่ยังไม่นับรวมค่าธรรมเนียมที่ปรึกษาทางการเงินและดอกเบี้ยเงินกู้ที่ตามมาอีกมหาศาลหลังจากดีลนี้ทำให้ CPALL ที่เป็นธุรกิจที่มีเงินสดมากมายต้องมีหนี้สูงจน DEBT/EQUITY RATIO กระโดดขึ้นไปถึง 6 เท่า ราคาหุ้น MAKRO เองหลังจากหมดช่วง Tender offer ก็หล่นมาแถว 600 บาทอยู่นาน จนเพิ่งมาโผล่พ้นน้ำราคาสูงกว่า 787 บาท (PAR=10) หรือ 39.35 บาท (PAR=0.50 บาทในปัจจุบัน) เมื่อเดือนมิถุนายน 2557 ที่ผ่านมานี่เอง คงต้องติดตามดูว่าทาง CPALL จะได้ประโยชน์อะไรจาก MAKRO นอกเหนือจากการคาดการณ์ของผม ไหนๆ ก็ Take มาแล้ว ถ้าบทความนี้ได้รับความสนใจ ผมอาจจะมีต่อภาค 2 ในดีลอื่นๆ อย่างเช่น Deal ของ BGH ในอดีต รวมทั้ง DEAL ของ Rasa และบริษัทอื่นๆ

    ก่อนจบบทความนี้ อยากเตือนให้นักลงทุนทั้งหลาย ทยอยลดพอร์ตของท่านในช่วงดัชนีแถว1,490-1,520 จุด เพราะว่า ณ ราคาระดับนี้ตลาดหุ้นไทยไม่ถูกแล้วเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน
 


เจ้าของหนังสือ Best Seller  “จาก 1 ล้าน เป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร” และยังเป็นนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ที่มีชื่อเสียง และเป็นที่สนใจของสื่อกระแสหลักอย่างมาก  ทำให้นอกจากคุณกิ๊ดจะทำบริษัทของตนเอง ก็ยังได้รับเชิญเป็นแขกรับเชิญ และเป็นผู้ดำเนินรายการ อาทิเช่น ในรายการถอดรหัสหุ้น และยังเป็นนักเขียนให้ โพสทูเดย์, นิตยสารคนรวยหุ้น, Condo Guide, Stock Review, Me (Market Evolution), Glow และ Lisa เป็นต้น

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง