เพื่อนๆหลายคนคงรู้จัก วอเร็น บัฟเฟตต์ เป็นอย่างดี และอาจรู้จัก บริษัท เบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ (Berkshire Hathaway) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปู่วอเร็น บัฟเฟตต์ ปั้นมาตั้งแต่ราคาหุ้นละ 1,275 เหรียญฯ ในปี 1984 จนมาปัจจุบัน 215,700 เหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นผลตอบแทนกว่า 168 เด้ง หรือประมาณอัตราการเติบโตเฉลี่ยทบต้นกว่า 20% ต่อปี เรียกได้ว่าถ้าใครลงทุนกับ บริษัท เบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ตั้งแต่ต้นจะเป็นเศรษฐีได้แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวไปเลย
เพื่อให้เพื่อน ๆ นักลงทุนเข้าใจกันดีขึ้นเกี่ยวกับ “อินเวสเมนท์ โฮลดิ้งส์ คอมพานี” (Investment Holding Company หรือเรียกสั้นๆว่า IHC) ว่ามันคืออะไรกัน ทำไมผลตอบแทนของบริษัท IHC ลักษณะนี้ (ที่ประสบความสำเร็จ) ถึงได้มากมายก่ายกองซะขนาดนั้น สูงกว่าดัชนี (Index) และกองทุนรวม (Mutual Fund) ทั่วๆไปหลายเท่า เราขอยกตัวอย่างบริษัทประเภท IHC ที่ใหญ่ที่สุดและประสบความสำเร็จที่สุดในโลกอย่างบริษัท เบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ (Berkshire Hathaway) มาแกะกล่องดูกันนะครับ
ตำนานนักลงทุนระดับปรมาจารย์หุ้นคุณค่าของ บัฟเฟตต์ ผู้นี้เริ่มลงทุนด้วยเงินก้อนแรกของเพียง 100 เหรียญฯ โดยการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดกับเพื่อนๆ และคนใกล้ชิดได้รวบรวมแหล่งเงินทุนรวม 105,000 เหรียญฯ โดยที่ตั้งเป้าท้าทายที่จะมุ่งเอาชนะตลาดดาวโจนส์ให้ได้ 10% ทุกปี แต่บัฟเฟตต์กลับทำได้เหนือกว่านั้นมาก สามารถชนะถึง 22% ต่อปี จนมูลค่าหุ้นของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จุดเริ่มต้น
ในปี 1962 ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ได้เข้าซื้อหุ้นทั้งหมด บริษัท เบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ซึ่งเป็นบริษัทสิ่งทออายุเก่าแก่เกือบ 100 ปี (ตอนที่ซื้อปู่บัฟเฟตต์ก็ยังไม่ได้คิดนะครับว่าจะปั้น บริษัท เบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ให้เป็น IHC)
แต่แล้วต่อให้พิจารณามาแล้วอย่างเจ๋งแค่ไหน แต่ระดับเทพก็พลาดกันได้นะ ธุรกิจสิ่งทอกลายเป็นธุรกิจตะวันตกดินของของประเทศสหรัฐอเมริกา และฐานการผลิตส่วนใหญ่ ๆได้ย้ายไปยังประเทศที่ค่าแรงถูกกว่าอย่างประเทศโซนเอเชีย จนในที่สุดต้องล้มเลิกธุรกิจสิ่งทอนี้ไปดีกว่าฝืนทำต่อ
แต่ยังไงก็ดี บริษัทก็ยังสะสมเงินทุนได้ไว้เพียงพอในการซื้อธุรกิจใหม่เข้ามาแทนที่ของเก่า ซึ่งก็คือธุรกิจประกันภัย นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นก้าวสำคัญของตำนานหุ้นคุณค่าของบริษัท เบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ซึ่งต่อมากลายเป็น Investment Holding Company
จากจุดนั้นเอง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็มองเห็นว่าการเข้าไปลงทุนถือหุ้นของบริษัทที่มีธุรกิจดีสร้างรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง เป็นโมเดลธุรกิจที่ดีเยี่ยมยอดกว่าการมานั่งสร้างธุรกิจเองตั้งแต่ต้น โดย IHC โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปลงรายละเอียดทำธุรกิจเองเสียทุกอย่าง สู้ปล่อยให้ผู้บริหารชุดเดิมที่มีประสบการณ์และมีฝีมือในการปั้นธุรกิจของเขาทำต่อไป ส่วน IHC ก็ทำหน้าที่ในการเป็นทัพเสริม เฝ้าดูธุรกิจที่ซื้อเข้ามาเติบโต และเก็บกินผลประโยชน์จากการลงทุนไปเรื่อยๆ
Investment Holding Company
Holding Company คือ บริษัทเข้าไปลงทุน โดยมากเพื่อมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการถือหุ้นบริษัท ซึ่งอาจมีเพียงธุรกิจเดียวหรือหลายบริษัทก็ได้ ทั้งจะต้องถือหุ้นในบริษัทแกน (Core company) อย่างน้อย 1 บริษัทเป็นบริษัทย่อย โดยมากแล้วหากเป็นการถือหุ้นในบริษัทย่อยแบบมีนัยสำคัญ (เช่น ถือหุ้นมากกว่า 24.99%) บริษัท Holding Company มักจะมีส่วนในการตัดสินใจที่สำคัญๆของบริษัทย่อยนั้นๆ แต่ก็เป็นไปได้ที่อาจถือในสัดส่วนที่น้อยกว่านั้นในลักษณะเป็นการลงทุนแต่ไม่ได้มีอำนาจควบคุมซักเท่าไร
สำหรับไทย มี Holding Company จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่เราคุ้นชื่อกันดี เช่น
INTUCH : บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ที่ถือหุ้นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจประเภทสื่อสาร เทคโนโลยี
BTS : บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ที่ถือหุ้นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจระบบขนส่งมวลชน ธุรกิจการบริการ และสื่อโฆษณา
สำหรับในส่วนของ Investment Holding Company ก็มีบางบริษัทของไทยที่ปรับโครงสร้างเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเป็น IHC เช่น บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) CGH ที่มีรายได้จากการถือหุ้นบริษัทอื่นเป็นหลัก เช่น ลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี (MFC) และบริษัท ผาแดงอินดัสทรี (PDI) และ บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) (CGD) เป็นบริษัทร่วม โดย IHC ในลักษณะนี้จะลงทุนถือหุ้นในบริษัทต่างๆในสัดส่วนที่ต่างกัน โดยมักเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หรืออย่างน้อยก็เป็น Top 5 Shareholders บริษัท IHC จะมองหาโอกาสลงทุนในบริษัทที่ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง หรือ ผู้บริหารสามารถเข้าไปช่วยสนับสนุนทางธุรกิจได้
แล้ว Investment Holding Company แตกต่างจากกองทุนรวมอย่างไร ติดตามตอนหน้าครับ