เริ่มแล้ว วันนี้ 13-24 ตุลาคม งานหนังสือแห่งชาติ
เจอกันที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ติดตามตอนก่อนหน้านี้ได้ที่ http://www.stock2morrow.com/article.php
ทีมงาน : จุดเริ่มต้นของตลาดกระทิงในปี 1982 สถานการณ์เศรษฐกิจเป็นอย่างไรบ้างครับ แล้วการขึ้นของกระทิงรอบนั้นคุณรู้สึกแปลกใจบ้างไหม
ปีเตอร์ ลินซ์ : ในปี 1982 ช่วงนั้นมีแต่ความหวาดกลัวครับ เราเพิ่งจะผ่านเศรษฐกิจถดถอยมาแล้ว 9 ครั้ง เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 อัตราเงินเฟ้อสูงถึง 14% ภาคธนาคารมีหนี้เสียมากมาย รัฐบาลอเมริกาอาจจะมีการผิดนัดชำระหนี้ มองไปทางไหนมีแต่ความหดหู่ ประเทศนี้กำลังไร้ซึ่งความหวัง แล้วมันเป็นแบบนั้นจริงๆหรือเปล่า ?
ผมลองกลับมาถามตัวเอง ผมเชื่อมั่นในบริษัทแต่ผมไม่ได้เชื่อมั่นในตลาดหุ้น ผมคิดว่าบริษัทยังดำเนินกิจการ ผู้คนยังจับจ่ายใช้สอย มันเป็นเรื่องยากมากที่คุณจะมองโลกในแง่ดี ขณะที่คนรอบข้างคุณต่างก็มองโลกในแง่ร้าย
เคยมีคนส่งจดหมายมาหาผมว่า ทำไมคุณยังลงทุนในหุ้น คุณไม่คิดว่าหุ้นกว่าครึ่งในพอร์ตของคุณจะล้มละลายบ้างเหรอ ผมรู้สึกว่าตรงนี้ที่เป็นโอกาสในการซื้อหุ้นที่ดี ในราคาที่ไม่แพงมาก สุดท้ายความคิดผมถูก ตลาดหุ้นก็วิ่งขึ้นไปโดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
ทีมงาน : ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลยเหรอครับ ?
ปีเตอร์ ลินซ์ : มันเป็นเรื่องน่ายินดี ถ้ามีใครสักคนหนึ่งคาดได้ว่าอเมริกาอาจจะเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เขาอาจจะถูกจ้างในราคาแพงมากเพื่อให้มานั่งคาดว่าจะเกิดภาวะถดถ่อยเมื่อไร และส่งสัญญาณให้ผมรู้ ผมจะได้ขายล้างพอร์ตก่อนที่มันจะตกในครั้งต่อไป แต่ผมคอยนานเท่าไร สัญญาณก็ไม่ส่งมาสักที
อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่กังวลกับมันเท่าไรนัก เพราะผมยังมุ่งเน้นอยู่กับพื้นฐานของบริษัทมากกว่า .. เคยมีใครสักคนบอกผมว่า อย่าเสียเวลาไปกับการมองเศรษฐกิจภาพใหญ่ เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครเดาได้ถูกอยู่ดี
ทีมงาน : ถ้าอย่างนั้น นักลงทุนควรคิดถึงอะไรเหรอครับ ?
ปีเตอร์ ลินซ์ : สิ่งที่นักลงทุนไม่ควรคิดเลย คือ การทำนายหรือคาดเดาว่าเศรษฐกิจของประเทศจะเป็นอย่างไร เพราะคิดไปมันก็ไม่ถูกอยู่ดี ถ้าคุณเป็นเจ้าของหุ้นฟอร์ด คุณควรจะดูว่าปีนี้ฟอร์ดมอเตอร์ผลิตรถรุ่นไหนออกมาสู่ตลาดบ้าง การตอบรับเป็นอย่างไร ราคาดีไหม แล้วคู่แข่งละ เป็นอย่างไรบ้าง
ถ้าคุณเป็นเจ้าของโรงงานผลิตอลูมิเนียม คุณควรจดจ่ออยู่กับราคาของอลูมิเนียม หรือถ้าคุณเป็นเจ้าของหุ้นโรงแรม คุณควรใช้เวลาไปพักผ่อนอยู่ในโรงแรงที่คุณเป็นเจ้าของ คุณพอใจกับบรรยากาศไหม รอบๆข้างมีโรงแรมที่เป็นคู่แข่งมากน้อยขนาดไหน ยังดีกว่าการที่เราใช้เวลาไปกับการหยิบสบู่ หรือแชมพูในโรงแรมเพื่อพกกลับบ้าน
มันไม่มีเหตุผลไปกับการมองเศรษฐกิจภาพใหญ่ การคาดเดาถึงอนาคต เพราะสุดท้ายแล้วอเมริกาเจอสงครามโลกครั้งที่ 2 เจอเศรษฐกิจถดถอย 9 ครั้ง เจอหนี้เสีย เจอการผิดนัดชำระหนี้ของภาครัฐ แต่สุดท้ายแล้วมันก็กลายเป็นกระทิงรอบใหญ่ที่สร้างผลตอบแทนให้กับ"เหล่าผู้กล้า" ที่กล้าซื้อหุ้นในขณะที่คนอื่นๆต่างพากันขายทิ้ง
ทีมงาน : เรามาคุยถึงเรื่องกองทุนแมกเจลแลนกันบ้าง มีคนมากมายคิดว่ากองทุนนี้ใหญ่เกินไป มันไม่สามารถใหญ่ไปกว่านี้ได้อีก
ปีเตอร์ ลินซ์ : ใช่ครับ ผมจำได้ว่าตอนนั้นกองทุนแมกเจลแลนมีขนาดกว่าพันล้านเหรียญ น่าจะเป็นปี 1983 หรือไม่ก็ปี 1984 กองุทนที่ผมบริหารได้รับการยอมรับว่าเป็นกองทุนหุ้นที่ใหญ่ที่สุด และไม่สามารถใหญ่ไปกว่านี้ได้อีกแล้ว กองทุนระดับ 5 พันล้านเหรียญ มันจะกลายเป็นหมื่นล้านเหรียญได้อย่างไร เป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี!
ผมก็เลยพูดไปว่า ถ้ากองทุนถึงระดับพันล้านเหรียญเมื่อไร ผมอยากจะลาออกเพื่อไปทำงานให้กับมูลนิธิ แล้วมันก็ถึงจริงๆ ผมก็เลยคิดว่าการเดินทางของผมกับกองทุนแมกเจลแลนก็ควรจะจบลงได้แล้ว เพราะถ้าผมยังบริหารต่อไปมันอาจจะสร้างผลตอบแทนที่ไม่ดีก็ได้ (หัวเราะ)
อย่างไรก็ตาม ระยะยาวกองทุนแมกเจลแลนก็มีผลตอบแทนเหนือกว่ากองทุนหุ้นในตลาดกว่า 80% ผมรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก และอยากจะบอกนักลงทุนด้วยว่า ให้หลีกหนีไปจากคำว่า "เป็นไปไม่ได้"
ทีมงาน : นักลงทุนรายย่อยจะสู้กับกองทุนขนาดใหญ่ได้เหรอครับ พวกเขาแทบจะไม่มีโอกาสเลยนะ
ปีเตอร์ ลินซ์ : โอกาสมีอยู่เสมอครับอยู่ที่ว่าเราเห็นหรือเปล่า นักลงทุนรายย่อยก็สามารถสู้กับกองทุนขนาดใหญ่ได้ ผมเองยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงมีความคิดแบบนี้ ผมมีสองข้ออยากจะมาชี้แนะครับ
ข้อแรก ผมคิดว่าทุกๆคนสามารถลงทุนได้
ข้อสอง ถ้าคุณคิดอยากจะทำมันให้ดีแล้ว สิ่งสำคัญคือ คุณต้องทุ่มเท
นักลงทุนส่วนใหญ่ตั้งเป้าหมายไว้ว่า ผมจะซื้อหุ้นเดือนนี้เพื่อจะมีขายในเดือนหน้า หรือแม้กระทั่งความคิดที่ว่าซื้อก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อจะขายก่อนอาทิตย์ตก การคิดแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปกับการเข้าคาสิโนมากนัก คุณจะซื้อบ้านสักหลังหนึ่ง คุณดูแล้วดูอีก คุณซื้อรถ คุณใช้เวลาไปกับการดูรถ การเปรียบเทียบรถแต่ละรุ่น คุณจะหาโรงเรียนให้ลูก คุณทำการบ้านอย่างหนักเพื่อเลือกสิ่งที่ดีให้กับลูก หรือแม้กระทั่งคุณซื้อทีวีสักเครื่อง คุณยังใช้เวลากับมันร่วมครึ่งชั่วโมง แต่คงไม่ใช่กับหุ้น .. คุณสามารถควักเงินมากกว่าหมื่นเหรียญเพื่อซื้อในสิ่งที่คุณเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันเป็นเรื่องตลกร้ายไหมครับ
คุณสามารถซื้อในสิ่งที่แย่ๆภายในไม่กี่วินาที งบการเงินแย่ บริษัทไม่มีรายได้ แม้แต่เงินปันผลก็ไม่มี สุดท้ายมันก็จบลงตรงคำว่า "ขาดทุนในหุ้น" แต่ไม่เป็นไร คุณกำลังซื้อตามโปรแกรมเทรดของพวกเหล่ามืออาชีพในวอลสตรีทใช้กัน คุณก็ถือมันไว้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการรดน้ำวัชพืชไปเรื่อยๆและพอร์ตของคุณก็เต็มไปด้วยวัชพืชที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้น
ผมย้ำอีกครั้งว่า ถ้าคุณจะทำให้ดีในหุ้น คุณต้องทุ่มเท ...
ทีมงาน : มาพูดคุยเกี่ยวกับการทำนายตลาด (Market timing) กันบ้างครับ คุณมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
ปีเตอร์ ลินซ์ : โดยปกติ ตลาดหุ้นมีความผันผวนอยู่แล้วครับ ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจะปรับฐานลงมาโดยเฉลี่ยที่ 10% ใน 95 ปี จะมีการตกลงมากกว่า 10% อยู่ 53 ครั้ง และ 26 ครั้งจะตกลงมาน้อยกว่า 10% นั้นแสดงว่าเราจะมีการปรับฐานอยู่ที่ประมาณสองปีต่อครั้ง และการตกลงมากว่า 25% เราจะเรียกภาวะนี้ว่า "ตลาดหมี" จะมีทั้งหมด 15 ปี ที่เราจะกับภาวะตลาดหมีครับ ..
นั้นหมายความว่าเราจะเจอประมาณหกปีต่อครั้งโดยเฉลี่ย .. แน่นอนว่าไม่มีใครรู้อย่างแน่นอน ผมเฝ้าสังเกตอยู่หลายครั้งว่าพอมีใครทำนายถึงการตกครั้งต่อไป ถ้ามันมีจริง ผมก็อยากจะว่าจ้างเขาด้วยเงินเดือนที่สูงเพื่อที่จะทำให้ผมได้หลีกหนีภาวะตลาดหมีในครั้งต่อไปและรอช้อนหุ้นถูกๆที่อยู่ข้างล่าง แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มี หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ ก็มีคนจำนวนมากประกาศว่าพวกเขารู้อยู่ก่อนแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นมีใครบอกผมเลย
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำนายถูกและหนีจากตลาดหมีครั้งนั้นได้ ก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าเขาจะเข้ามาได้ถูกเวลาก่อนตลาดขึ้นรอบต่อไป นักลงทุนที่อยู่ในตลาดจะต้องเจอกับสภาวะตลาดผันผวนแน่นอน ถ้าคุณไม่พร้อมที่จะรับสภาวะนั้น แสดงว่าคุณไม่เหมาะที่จะลงทุนในหุ้น ให้ลงทุนผ่านกองทุนรวม หรือแม้แต่ครอบครัวที่ลูกๆต้องใช้เงินในการเข้าโรงเรียนภายใน 1-3 ปีข้างหน้า ก็ไม่เหมาะอีกเช่นเดียวกัน
ถ้าคุณถามผมว่าตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรในอีก 1-2 ปี ผมตอบได้ทันที่ว่าไม่รู้ แต่ถ้าคุณถามผมว่าอีก 10 ปี หรือ 30 ปีข้างหน้า ตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร ผมตอบเลยว่า ภาพใหญ่ของตลาดหุ้นจะเป็นแนวโน้มขาขึ้น ผมมั่นใจ
ทีมงาน : ถ้าสมมุติว่าคุณลงทุนในปี 1966 และถือหุ้นมาตลอด 15 ปี คุณจะได้เงินคืนทั้งหมด
ปีเตอร์ ลินซ์ : ในปี 1966 ถึงปี 1982 ตลาดหุ้นจะวิ่งไซด์เวย์ออกข้างไม่ไปไหน แต่สิ่งที่คุณได้คือปันผล ปันผลนี้เป็นเรื่องสำคัญมากนะครับ ซึ่งนักลงทุนมักจะไม่ให้ความสำคัญ แต่สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถึงแม้ว่าคุณจะได้มันน้อยมากๆ แต่ถ้าถือมันอย่างยาวนานพอ คุณจะรู้สึกแปลกใจกับผลลัพธ์
มันคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการเข้ามาในตลาดช่วงปี 1920-1929 ซึ่งเป็นตลาดซึมลงในภาวะตลาดหมี แต่บริษัทพื้นฐานดีก็ยังคงจ่ายปันผลมาตลอด 10 ปี และจ่ายในอัตราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นคำถามสำคัญว่า อะไรคือปัจจัยสำคัญที่บริษัทเหล่านี้จะทำกำไร ?
ในประวัติศาสตร์ บริษัทที่มีกำไรเติบโตจะจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นประมาณ 8% และจะเป็นสองเท่าใน 9 ปี สี่เท่าใน 18 ปี และหกเท่าใน 25 ปี คิดดูสิว่าคุณจะได้ปันผลสูงหกเท่าจากตอนเริ่มแรก ในขณะที่ตลาดหุ้นยังคงแกว่งตัวออกข้างไม่ไปไหน ถ้ามันจ่ายปันผลประมาณ 2% ในปีแรก มันจะมีค่าประมาณ 11% เมื่อคุณถือ 25 ปี มันเป็นปันผลที่เยอะมาก คุณอาจจะรวยไม่แพ้วอเร็น บัฟเฟตต์เลยก็ได้
แปลและเรียบเรียงโดย SiTh LoRd PaCk