#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน

ปีเตอร์ ลินซ์ ทำอย่างไรให้เหนือกว่าวอลสตรีท (ตอนที่4)

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
167 views

 

ติดอ่านตอนแรกได้ที่ http://www.stock2morrow.com/article-detail.php?id=787

ติดตามอ่านตอนสองได้ที่ http://www.stock2morrow.com/article-detail.php?id=788

ติดตามอ่านตอนสามได้ที่ http://www.stock2morrow.com/article-detail.php?id=789

ทีมงาน : ปี 1987 คุณช่วยพูดเกี่ยวกับมันหน่อยได้ไหมครับ แล้วตอนนั้นคุณกำลังทำอะไรอยู่ครับ ?


ปีเตอร์ ลินซ์ : จริงๆ ตอนนั้นผมรอตลาดหุ้นตก ผมใช้เวลาพักร้อนกับภรรยาของผมที่แต่งงานกันครบรอบ 8 ปี ที่ประเทศไอซ์แลนด์ตอนนั้นน่าจะเป็นคืนวันศุกร์ผมโทรหาเพื่อนของผมที่ทำงานอยู่ในวอลสตรีท

เขาบอกว่าตลาดหุ้นร่วงลงไป 115 จุด ผมบอกกับแคโรลีน(ภรรยา) ว่า ถ้าวันจันทร์หุ้นตกอีกวัน พวกเรากลับอเมริกากันเถอะ พอถึงวันจันทร์ ตลาดหุ้นก็ร่วงอีก 508 จุด ผมกลับบ้านแล้วก็เข้าออฟฟิศทันที ผมดูราคาหน่วยลงทุนที่ผมบริหารมันตกลงไป 30% 

ผมคิดเลยว่าสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไม่ได้ง่ายแน่นอน มีโทรศัพท์จากผู้ถือหน่วยจำนวนมากโทรมาหาผมเพื่อถามว่ากองทุนผมเป็นยังไงบ้างและที่สำคัญคือ "คุณลินซ์ คุณกำลังอะไรอยู่" จริงๆผมอยากจะบอกว่า "โอ้ว ผมเพิ่งกลับมาจากไอซ์แลนด์ครับ

ผมไปตีกอล์ฟมา อากาศดีมากๆบ คุณน่าจะหาเวลาสักอาทิตย์หรือสองอาทิตย์สำหรับการพักผ่อนที่ไอซ์แลนด์นะ" แต่ด้วยหน้าที่ผมก็แค่ได้แต่คิด ซึ่งผมก็บอกไปว่า "ผมกำลังหาโอกาสอยู่ครับ" เพื่อให้ผู้ถือหน่วยสบายใจ

จากประสบการณ์ครั้งนั้นผมก็เรียนรู้เลยว่า ต่อให้หุ้นที่คุณถืออยู่มันจะดีซักแค่ไหนก็ตามในทางพื้นฐาน ก็ไม่มีหุ้นประเภทที่ทนทานต่อการร่วงลงของตลาดหุ้นได้ สิ่งที่คุณทำได้ คือ กลับบ้านเพื่อทำการบ้านและมองหาโอกาสจากการตกครั้งนั้น

ทีมงาน : ทำไมในปี 1987 ตลาดหุ้นถึงร่วงได้เหรอครับ ?


ปีเตอร์ ลินซ์ : ผมว่าเกิดจากความคาดหวังมากกว่าครับ และนักลงทุนก็ไม่ได้วิเคราะห์อะไรเลยเกี่ยวกับตลาดหุ้นตอนนั้น ในมุมมองของผม ปี 1982 ตลาดหุ้นอยู่ที่ 777 จุด และในปี 1986 มันวิ่งขึ้นไป 1700 จุด มันใช้เวลาแค่ 4 ปีเองนะครับ ต่อมาในปี 1987 มันก็พุ่งขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 2700 จุด 

มันวิ่งเร็วและแรงมาก ตามมาด้วยการปรับฐานอย่างหนักราวๆพันจุด และ 500 จุดในวันสุดท้าย แต่ถ้าตลาดหุ้นมันอยู่ที่ 1700 จุด และแกร่งตัวออกข้างก็คงจะไม่มีใครกังวลกับมันมากนัก 

การร่วงลงในปี 1987 เกือบทุกคนก็เจ็บปวดจากตลาดหุ้น ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "โลกเราจะถึงกาลอวสานแล้ว" ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งรู้สึกยินดีกับการทำจุดสูงสุดใหม่ของตลาดหุ้น บทวิเคราะห์ นักวิเคราะห์จำนวนมากหรือแม้แต่เจ้าหน้าที่องธนาคารต่างก็ออกมาประกาศว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาแข็งแกร่ง การเติบโตก้าวกระโดด PE ต่ำและปันผลสูง

กฏแบบเดิมๆจะใช้ในการคำนวนไม่ได้อีกแล้วเพราะเรากำลังทำประวัติศาสตร์หน้าใหม่ แต่นักลงทุนลืมคิดถึงเรื่องพื้นฐานไป จากปี 1982 - 1987 บริษัทจดทะเบียนเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ? แทบจะไม่เปลี่ยนเลย มีแต่ตลาดหุ้นและความคาดหวังของคนเท่านั้นที่เปลี่ยนไป พอเจอกับการปรับตัวลงของตลาดหุ้น

แทนที่พวกเขาจะทำการบ้านและค้นหาหุ้น พวกเขากลับเยาะเย้ยโชคชะตา พระเจ้าเล่นตลกกับพวกเขา โลกจะแตกแล้ว ต่อจากนี้ไปพวกเขาคงจะต้องเข้าป่าและเก็บแอปเปิ๊ลมาขายตามท้องถนน แต่คุณรู้อะไรไหมว่านักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จจะยังคงมองหาโอกาสต่อไป ปรากฏการณ์แบบนี้ไม่ได้มีให้เห็นกันบ่อยๆ โอกาสอยู่ตรงไหน บริษัทแข็งแรงไหม งบดุลเป็นอย่างไร บริษัททำธุรกิจอะไร สุดท้ายพวกเขาก็เรียนรู้ว่าโลกไม่เคยแตก และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเข้าป่า ..

ทีมงาน : นั้นเป็นการร่วงอย่างหนักของตลาดหุ้นที่คุณรู้สึกกลัวมากที่สุดเลยใช่ไหมครับ


ปีเตอร์ ลินซ์ : ไม่นะครับ ผมไม่ได้กลัวเลย เพราะว่าผมยึดมั่นอยู่กับพื้นฐานของกิจการ ผมโทรหาบริษัทที่ผมลงทุนเกือบทุกบริษัทเพื่อสอบถามว่าบริษัทคุณเป็นยังไงบ้าง มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ไหม ผมเปิดดูงบดุลย้อนหลังดูก็ยังแข็งแรงเหมือนเดิม

ผมมองไปทางหน้าต่าง พระอาทิตย์ก็ยังส่องแสงแดดตามปกติ มองไปตามท้องถนน คนก็ยังขับรถ เติมน้ำมัน ซื้อของเข้าบ้าน พาครอบครัวไปเดินห้างสรรพสินค้า และกินอาหารตามร้านอาหาร เมื่อพวกเขายังใช้ชีวิตตามปกติ แล้วทำไมเราต้องกังวลด้วยละ ..

ความจริง การร่วงของปี 1987 ไม่เหมือนกับปี 1990 นะครับ ผมรู้สึกกลัวกับปี 1990 มากกว่า อย่างไรก็ตามผมก็ยังระมัดระวังในการมองหุ้นมากกวาเดิม

ทีมงาน : ปี 1990 เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ?


ปีเตอร์ ลินซ์ : ตอนนั้นตลาดหุ้นในปี 1990 น่าจะอยู่ราวๆ 3000 จุดเห็นจะได้ครับ มีเรื่องของสงครามเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คือ ซัดดัม ฮุสเซนมีการบุกคูเวต และประธานาธิบดีบุชก็ส่งทหารประมาณ 5 แสนนายเข้าไปยังซาอุดิอาระเบียเพื่อปกป้อง ตอนนั้นผมรู้สึกกังวลว่าเราจะเกิดสงครามเวียดนามขึ้นอีกแล้วเหรอ แล้วอย่างนี้เราก็ต้องปะทะกับทางอิรักผู้ที่มีกำลังทางการทหารใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก จะมีคนล้มตายกันกี่คน

ต่อมามันก็มีข่าวเรื่องร้ายๆเกี่ยวกับเศรษฐกิจ วิกฤตของธนาคาร แบงค์หลายๆแห่งจะล้มละลาย ภาวะขาดสภาพคล่องของสถาบันการเงิน แบงค์จะระดมหุ้นกู้จำนวนมาก ในปี 1987 เราเรียกว่าภาวะถดถ่อย แต่ปี 1990 เราเรียกว่าภาวะถดถ่อยของสถาบันการเงิน ซึ่งความหมายดูแย่กว่ามาก

แต่สุดท้ายแล้ว สงครามก็ไม่ได้ยืดเยื้อ เราไม่ได้สาดอาวุธใส่กัน และธนาคารหลายๆแห่งก็ไม่ได้ล้มละลาย หุ้นก็มีการถีบตัวกันขึ้นมา

ทีมงาน : การทำงานด้านนี้ก็ดูกดดันเหมือนกันนะครับ เพราะคุณเองก็ถือเงินของลูกค้าเยอะมากเช่นกัน


ปีเตอร์ ลินซ์ : นั้นไม่ใช่แรงกดดันครับ ผมรักงานนี้มาก ผมมีสภาวะแวดล้อมที่ดี เพื่อนร่วมงานดี ทีมงานก็ดีมาก ผมอยากจะเข้าไปคุยกับบริษัทไหน บริษัทนั้นก็ต้อนรับด้วยชื่อเสียงของผม และขนาดของกองทุนที่ใหญ่มากแล้ว สิ่งที่ผมไม่ชอบ คือ เวลาในการทำงานของผมไม่เคยพอเลย ผมต้องทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ แต่ผมก็ยังคิดว่ามันไม่พออยู่ดี

ทีมงาน : มาพูดถึงภรรยาของคุณบ้าง ได้ยินมาว่า คุณได้หุ้นที่ทำเงินหลายตัวมาจากภรรยาของคุณ ? 


ปีเตอร์ ลินซ์ : ใช่ครับ ผมเป็นคนที่ชอบสังเกตสิ่งรอบๆตัว ผมสังเกตเห็นภรรยาของผมชอบซื้อถุงน่องยี่ห้อ L'Eggs เธอมักจะซื้อมาเป็นประจำ เธอยังชมอยู่บ่อยๆว่าถุงน่องยี่ห้อนี้ใส่สบายจริงๆ ผมเก็บคำพูดของเธอมาคิดแล้วจำได้ว่าบริษัทที่ผลิตสินค้า L'Eggs มีการซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นด้วย ผมเลยไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตนั้นเพื่อดูสินค้าเกี่ยวกับถุงน่อง

ผมสังเกตว่าทางด้านขวาของ L'Eggs มีอีกแบรนด์หนึ่งชื่อว่า No Nonsense ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท Kayser-Roth ผมเกรงว่าตัว L'Eggs จะมีคู่แข่ง ผมจึงซื้อถุงน่อง No Nonsense ประมาณ 48 คู่เพื่อแจกจ่ายให้กับพนักงานในบริษัทและภรรยาของผม และย้ำพวกเธอว่าอีก 2 อาทิตย์มาบอกผมด้วยว่าใช้สินค้า No Nonsense แล้วรู้สึกอย่างไร ผมว่านี้คือการสำรวจธุรกิจที่ดีมาก

ระหว่างนั้นผมก็ศึกษาเกี่ยวกับการช็อปปิ้งของผู้หญิง ผมพบว่าผู้หญิงจะเดินเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตอาทิตย์ละ 1 วัน และเดินห้างสรรพสินค้าประมาณ 1 ครั้ง ต่อ 6 สัปดาห์ ซึ่งการเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตนั้นดูได้เปรียบกว่าและสินค้า L'Eggs มีวางขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตมากกว่าที่จะเปิดร้านในห้างสรรพสินค้า

พวกเธอกลับมาพร้อมกับบอกว่า No Nonsense เป็นสินค้าที่ใส่แล้วไม่สบายสักเท่าไร ผมจึงวางใจได้ว่า L'Eggs เป็นธุรกิจที่น่าสนใจ อยู่เหนือชั้นกว่าคู่แข่งและไม่แปลกใจว่าทำไมภรรยาผมชอบซื้อมัน ผมก็เลยซื้อหุ้นบางส่วน และก็ได้ผลตอบแทนที่ดี

การสำรวจ  L'Eggs ทำให้ผมได้พบกับ Sara Lee บริษัทผลิตอาหารจำพวกเบเกอร์รี่ กาแฟ อาหารแห้ง ซึ่งผมก็เฝ้ามองดูมันอยู่ก่อนที่มันจะขึ้นไป 30 เด้ง น่าเสียดายตรงที่ว่า ผมไม่ได้ซื้อมัน ..
 


-------------- จบตอน 4 -------------- 

แปลและเรียบเรียงโดย  SiTh LoRd PaCk

ปุกาศๆ... ถึงเพื่อนๆเหล่าหนอนหนังสือ วันที่รอคอยมาถึงแล้ว

งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ 

13-24 ตุลาคม ศูนย์ประชุมสิริกิติ์

งานนี้ไม่ได้มีแค่ส่วนลด 15-35% แต่มีของแถมเพียบ!

เจอกันที่บูธ stock2morrow หมายเลข K16 


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง