ติดตามตอนแรกได้ที่ http://www.stock2morrow.com/article-detail.php?id=787
ทีมงาน : ดังนั้นหมายความว่าคนส่วนใหญ่มักจะเข้าตลาดผิดเวลา อย่างนั้นหรือครับ ?
ปีเตอร์ ลินซ์ : ใช่แล้วครับ คนส่วนใหญ่มักจะเป็นอย่างนั้น เมื่อพวกเขาพลาด พวกเขาก็จะโทษตัวเองว่าครั้งหน้าเข้าจะไม่ยุ่งกับตลาดหุ้นอีกแล้ว ในขณะที่ตลาดเป็นขาลงซึ่งเป็นจังหวะที่ดีที่คุณจะหาหุ้นดีเก็บเข้าพอร์ต แต่เชื่อเถอะครับว่าพวกเขาจะกลับมาอีกตอนที่ตลาดเป็นขาขึ้นซึ่งเป็นจังหวะที่อันตรายอย่างมากในเรื่องของการลงทุน
ทีมงาน : ตอนที่คุณทำงานในฟิเดลลิตี้ คุณได้รับเงินเดือนเท่าไรเหรอครับ
ปีเตอร์ ลินซ์ : น่าจะประมาณ 16,000 เหรียญต่อปีครับ ตอนนั้นผมอยู่ฝ่ายวิเคราะห์ ทำหน้าที่วิเคราะห์เจาะลึกอุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องหนัง แล้วก็อุตสาหกรรมเหล็ก ผมจำได้ว่าปีที่สองของการทำงาน ผมได้เพิ่มเงินเดือนเป็น 17,000 เหรียญต่อปี มันรู้สึกดีมาก
ทีมงาน : คุณมีงานอื่นอีกบ้างไหมครับ
ปีเตอร์ ลินซ์ :มีครับ ผมเข้าไปทำงานอยู่ในกองทัพการบิน ROTC ของอเมริกาได้ 2 ปี และเรียนการบริหารการเงินที่โรงเรียนธุรกิจวอร์ตั้นของมหาวิทยาลัยเพนซิวาเนีย หลังจากนั้นผมก็ค่อยมาสมัคงานที่ฟิเดลลิตี้ตอนอายุ 25 ปี ครับ
ทีมงาน : คุณรับบริหารกองทุนแมกเจลแลนเมื่อไรครับ
ปีเตอร์ ลินซ์ : ในปี 1977 ครับ ผมน่าจะอายุ 33 ปี เห็นจะได้
ทีมงาน : บอกได้ไหมครับ ว่าตอนนั้นกองทุนที่คุณบริหารเป็นแบบไหน
ปีเตอร์ ลินซ์ : ตอนนั้นยังเป็นกองทุนขนาดเล็กอยู่เลยครับ เน้นการบริหารเชิงรุก โดยเริ่มต้นแล้วกองทุนของแมกเจลแลนก่อตั้งขึ้นในช่วงปี 60 ในนามของกองทุนเพื่อการลงทุนนานาชาติ คือ เน้นการบริหารเงินจากต่างชาติที่จะมาลงทุนในอเมริกา และมันก็เปลี่ยนชื่อมาเป็นแมกเจลแลนในปี 1963
แต่ว่าตอนนั้นมันมีข้อเสียเปรียบอยู่คือทางรัฐบาลเก็บภาษีค่อนข้างสูงเลยไม่เป็นที่นิยม มันมีข้อจำกัดครับ หลังจากนั้นเราก็ปรับเปลี่ยนมาเรื่อยๆจนกลายมาเป็นกองทุนสำหรับชาวอเมริกาเพื่ออเมริกา ในปี 1977 ตอนนั้นขนาดกองทุนอยู่ที่ 20 ล้านเหรียญ
ทีมงาน : นั้นถือเป็นการปั้นพอร์ตโฟลิโอ้ครั้งแรกของคุณเลยใช่ไหมครับ
ปีเตอร์ ลินซ์ :ถูกแล้วครับ ผมเป็นหัวหน้าฝ่ายงานวิจัยในปี 1974 และก็ยังเป็นนักวิเคราะห์จนถึงปี 1977 ผมจึงได้มากุมบังเหียนแมกเจลแลน
ทีมงาน : แต่ตลาดหุ้นช่วงนั้นถือว่าไม่ดีเอามากๆเลยในปี 1977 - 1982 ก่อนที่จะมาเป็นกระทิงรอบใหญ่ แต่กองทุนที่คุณบริหารอยู่ก็ถือว่าโดดเด่นอยู่เหมือนกัน คุณทำอะไรกับมันเหรอครับ
ปีเตอร์ ลินซ์ : ตอนนั้นผมมีหลักคิดง่ายๆคือเริ่มต้นจากสิ่งที่ชำนาญก่อน ผมเคยเป็นนักวิเคราะห์พวกสิ่งทอแล้วก็กลุ่มเหล็กมาก่อน ผมจึงเริ่มต้นลงทุนในอุตสาหกรรมเหล่านั้น ผมคิดว่าการลงทุนในหุ้นที่มีเครือข่ายย่อมได้เปรียบมากกว่า ตอนนั้นกลุ่มเหล็กถือว่าเป็นกลุ่มที่มีเครือข่าย พวกเขาเข้มแข็งมาก ถือว่าได้ผลตอบแทนที่ดีนะ มีผิดบ้างมีถูกบ้าง
ผมก็เริ่มเรียนรู้บ้างอย่างว่า เราอย่าจำกัดโอกาสเฉพาะในกลุ่มที่เราถนัด ผมเริ่มวิเคราะห์กลุ่มอาหารอย่าง Taco Bell ผมมีหลักคิดที่ว่า เราน่าจะลงทุนในร้านอาหารขนาดเล็กที่ยังไม่เป็นที่นิยม เพราะคนส่วนใหญ่มักจะชอบแมคโดนัลด์ และตอนนั้นมันก็แพงเกินไปแล้วกับเครือข่ายร้านอาหารที่ขยายสาขาไปเกือบทั่วโลก แต่ Taco Bell ยังไม่ใช่ มันเป็นหุ้นที่ไม่มีคนสนใจ แต่กำไรมันเติบโตขึ้นทุกปี แล้วมันก็สร้างผลตอบแทนให้ผมอย่างงดงาม ผมคิดอยู่เสมอว่า
ถ้าผมเรียนรู้ 10 บริษัท จะมี 1 บริษัทที่น่าสนใจ ถ้าผมเรียนรู้ 20 บริษัท จะมี 2 บริษัทที่ผมรู้สึกตื่นเต้น ถ้าผมเรียนรู้ 100 บริษัท จะมี 10 บริษัทที่ผมอยากจะได้มันมาไว้ในพอร์ตโฟลิโอ การค้นหาหุ้นก็เปรียบเหมือนการพลิกหาตัวด้วงใต้ก้อนหิน ใครพลิกหินได้มากที่สุด คนนั้นเป็นผู้ชนะและนั้นคือคติของผมครับ
ทีมงาน : และนั้นก็ทำให้แมกเจลแลยมีชื่อเสียงในปี 1982 ?
ปีเตอร์ ลินซ์ : ครับ .. ในช่วงผมบริหารแมกเจลแลนปีแรกๆ มีคนขายหน่วยลงทุนของกองผมไป 1 ใน 3 มันไม่มีใครสนใจหรอกครับว่าตลาดหุ้นเป็นยังไง เขาแค่คิดว่ากำไรก็ขายไป ตลาดหุ้นตอนนั้นก็ไม่ได้ลงมากแต่แมกเจลแลนก็ถือว่าผมตอบแทนไม่ได้เลวร้ายเลยนะ แต่คนเริ่มกลับมาซื้อในปี 1982
หลังจากที่ตลาดหุ้นขึ้นไปเร็วมากแล้ว พวกเขาน่าจะกลัวตกรถกัน (หัวเราะ) และในปี 1983 กองทุนของผมก็ติด 1 ใน 5 กองทุนที่ดีที่สุด ปี 1984 ก็ติดอันดับเหมือนกัน คนเริ่มให้ความสนใจว่ากองทุนนี้ทำอะไร แล้ว"ตาแก่"ที่ไหนบริหารละเนี่ย ตอนนั้นผมมีผมขาวแล้ว อาจจะเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ที่มีผมขาวก่อนวัย
คนเลยเข้าใจว่าผมอายุเยอะทั้งที่ผมเพิ่งจะ 40 ปี สื่อกับหนังสือพิมพ์เริ่มให้ความสนใจกันมาก และนั้นละครับคนก็เริ่มมาซื้อหน่วยลงทุน
ทีมงาน : ลองเล่าประสบการณ์ที่คุณได้สัมภาษณ์กับสื่ออย่าง CNBC และพิธีกรสุดฮ๊อตอย่าง หลุยส์ รุกคิเสอ (Louis Ruckeyser)
ปีเตอร์ ลินซ์ : ในปี 1982 ผมจำได้ว่าผมซื้อหุ้นไครสเลอร์(บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รถยนต์)หนักพอสมควร ผมแนะนำให้นักลงทุนซื้อหุ้นตัวนี้ด้วย แต่คนส่วนใหญ่ก็ส่ายหน้าหนี เพื่อนผมของหรือแม้กระทั่งญาติของผมต่างก็บอกว่า ทำไมผมแนะนำหุ้นตัวนี้ มันกำลังจะล้มละลายนะ แต่ว่าผมไม่สนใจ แล้วก็ยังคงเดินหน้าซื้อต่อไป
ต่อมา ผมได้รับเชิญไปออกรายการโทรทัศน์ CNBC กับพิธีกรอย่าง หลุยส์ รุกคิเสอ ชื่อรายการ คือ Wall Street with Louis Ruckeyser ผมก็ยังคงแนะนำหุ้นไครสเลอร์ไม่เปลี่ยน ตลาดหุ้นก็แบบนี้ละครับ มันจะทดสอบความมั่นใจของคุณอยู่ตลอดเวลา
ถ้าคุณรู้สึกว่าหุ้นตัวนี้เป็นตัวที่น่าลงทุน ในขณะที่คนรอบข้างต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่า "ไม่" แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อไประหว่างเดินออกจากมันแล้วไปเล่นหุ้นตัวอื่น หรือยังคงมั่นใจแล้วซื้อมันเพิ่ม แต่สำหรับผมแล้วผมขอเป็นอย่างหลังดีกว่า ถ้าผมทำการบ้านกับหุ้นตัวนี้มาอย่างดี ..
-------------- จบตอน 2 --------------
แปลและเรียบเรียงโดย SiTh LoRd PaCk
ปุกาศๆ... ถึงเพื่อนๆเหล่าหนอนหนังสือ วันที่รอคอยมาถึงแล้ว
งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ
13-24 ตุลาคม ศูนย์ประชุมสิริกิติ์
งานนี้ไม่ได้มีแค่ส่วนลด 15-35% แต่มีของแถมเพียบ!
เจอกันที่บูธ stock2morrow หมายเลข K16