Peter Lynch ตำนานผู้จัดการกองทุน Fidelity's Magellan Fund ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อ PBS เพื่อเป็นวิทยาทานนักลงทุนรุ่นใหม่ว่าจะทำอย่างไรให้ลงทุนในตลาดหุ้นได้อย่างมีความสุขและชนะตลาดได้อย่างระยะยาว ต่อมาสื่อ PBS ก็นำมาเขียนลงในเว็บไซด์ในคอลัมน์ Betting on the Market และผมก็นำมาแปลให้อ่านกันครับ อาจจะแปลแบบสรุป อ่านให้กระชับ
ถ้าท่านใดอยากอ่านฉบับเต็ม .. ลองดูได้ที่เว็บไซด์ http://www.pbs.org/wgbh/pages/frontline/shows/betting/pros/lynch.html
ทีมงาน : สวัสดีครับ คุณลินซ์ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาขอเข้าเรื่องหุ้นเลยนะครับ ทำไมคุณถึงสนใจในตลาดหุ้นเหรอครับ
ปีเตอร์ ลินซ์ : ผมเติบโตมาในช่วงปี 1950 ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นวอลสตรีทบูมพอดี ตอนนั้นผมทำงานเป็นเด็กแบกถุงกอล์ฟให้กับสนามกอล์ฟแห่งหนึ่ง และผมมักจะได้เห็นนักธุรกิจ คนเล่นหุ้นมากมายพูดคุยเกี่ยวกับตลาดหุ้นและหุ้นร้อนที่ทำเงินมากมายให้กับกลุ่มคนเหล่านั้น
ตอนแรกผมก็ลองฟังๆดูครับว่าเขาสนทนาอะไรกันแต่น่าจะเกี่ยวกับหุ้นอะไรสักอย่าง เลยลองเอาเชื่อไปค้นในหน้าหนังสือพิมพ์ เออ มันก็เป็นหุ้นจริงๆ และถัดมาหลายสัปดาห์หุ้นเหล่านั้นต่างก็พากันถีบตัวอย่างรุ่นแรง ผมรู้สึกว่ามันมีวิธีทำเงินง่ายๆแบบนั้นด้วยเหรอ แต่ตอนนั้นผมไม่มีเงินมากพอที่จะลงให้กับตลาดหุ้น แค่เงินจะเรียนหนังสือยังไม่มีเลย แต่ผมก็เก็บเรื่องเหล่านั้นไว้ในใจ คิดเอาไว่าสักวันหนึ่งเราน่าจะได้ประโยชน์จากมันบ้าง
ทีมงาน : หุ้นตัวแรกของคุณ คือตัวไหนเหรอครับ
ปีเตอร์ ลินซ์ : ตอนนั้นผมทำงานเป็นเด็กหิ้วถุงกอล์ฟเพื่อหาเงินเรียน น่าจะได้เงินประมาณ 700 เหรียญต่อเดือน แล้วก็มีบางส่วนจากทุนการศึกษาด้วยประมาณ 300 เหรียญ รวมๆแล้วเดือนหนึ่งผมจะมีเงินประมาณ 1000 เหรียญ อันนี้ยังไม่หักค่าเทอม ผมก็พยายามออมเงินเอาไว้ก่อนรอให้มันเป็นก้อนใหญ่
แล้วก็ช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน ฤดูหนาว นักศึกษาต่างกลับบ้านหรือไม่ก็หางานทำ ผมเป็นอย่างหลัง ผมใช้เวลาปิดภาคเรียนทำงานพิเศษเพื่อที่จะได้เรียนในมหาวิทยาลัยบอสตันด้านบริหารการเงิน ระหว่างที่ผมเรียนที่บอสตัน ผมก็หาเวลาบางส่วนค้นคว้าเกี่ยวกับตลาดหุ้น และไปเจอกับอุตสาหกรรมการบิน
ตอนนั้นผมสนใจมากบริษัทนั้นคือ Flying Tiger ทำเกี่ยวกับพวกอุตสาหกรรมคาร์โก้ การขนส่งทางอากาศอะไรประมาณนั้น ผมมองว่าต่อไปคาร์โก้น่าจะดีในอนาคต ตอนนั้นผมคิดแค่นั้นจริงๆและไม่รู้ด้วยว่ามันดียังไง แต่คิดว่ามันน่าจะดี ผมซื้อมัน แต่ว่าการซื้อหุ้นตัวแรกเรามักจะโชคดีเสมอ ราคาหุ้นมันขึ้นจริงๆแต่ขึ้นด้วยสาเหตุอื่นนะ
ตอนนั้นอเมริกามีสงครามกับทางเวียดนาม และรัฐบาลอเมริกาได้เช่าเครื่องบินเหมาลำของ Flying Tiger เพื่อใช้ขนส่งทหาร หุ้นก็เลยขึ้น มันเป็นอะไรที่โชคดีจริงๆ มันขึ้นไปประมาณ 10 เด้งได้ มันขึ้นเร็วมากครับจาก 20 เหรียญ ไป 40 เหรียญภายในไม่กี่วัน ผมเลยเริ่มขายและไปขายได้ที่ราคา 80 เหรียญซึ่งเป็นราคาเกือบสูงสุด
ตอนนั้นผมทำเงินได้เยอะมากๆแทบจะไม่ต้องทำงานเพื่อส่งตัวเองเรียนเลยเพราะบริษัท Flying Tiger ได้มอบทุนการศึกษาให้ผมแล้ว (หัวเราะ) ตอนนั้นผมคิดว่าตลาดหุ้นมันเป็นของง่าย แค่ซื้อแล้วก็ถือ แล้วก็รวย .. แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้เป็นแบบนั้น
ทีมงาน : หุ้น 10 เด้งเลยเหรอครับ ! ครั้งแรกคุณก็ได้ 10 เด้งแล้ว ไอคำว่าเด้งๆที่คุณพูดนี้ หมายถึงอะไรเหรอครับ ?
(ปีเตอร์ ลินซ์ ใช้คำว่า ten bagger พิธีกรกำลังถามว่า bagger แปลว่าอะไร - ผู้แปล)
ปีเตอร์ ลินซ์ : ผมได้มาจากกีฬาเบสบอล ตอนเป็นวัยรุ่นผมชอบดูมันมากก็เลยติดเอามาพูด ซึ่งจริงๆมันหมายความว่า คุณทำเงินได้ 10 เท่าจากเงินต้นที่คุณลงทุน นั้นละครับ มันคือ ten bagger
ทีมงาน : มันรู้สึกยังไงบ้างครับ ?
ปีเตอร์ ลินซ์ : แน่นอน รู้สึกดีแน่ ในชีวิตคุณ คุณแค่หาตัวเหล่านี้ให้เจอไม่กี่ครั้ง คุณก็สามารถเป็นเศรษฐีได้ไม่ยาก
ทีมงาน : นั้นคือเคล็ดลับของคุณที่จะทำให้คุณเหนือกว่าวอลสตรีทใช่ไหมครับ ?
ปีเตอร์ ลินซ์ : ใช่แล้วครับ ผมคิดว่าความลับของตลาดหุ้นคือ คุณต้องหาหุ้น 10 เด้งให้เจอ ในชีวิตคุณ คุณจะเจอการลงทุนที่แย่มาก แล้วก็หุ้นที่วิ่งโอเค คุณพอรับได้ แต่ขอแค่มี 1 หรือ 2 ตัว ที่เป็น 10 เด้งในพอร์ตของคุณ แค่นี้คุณก็เป็นเซียนหุ้นวอลสตรีทที่ใครๆต่างก็อิจฉาแล้ว แต่ในความเป็นจริงคือจะมีสักกี่คนที่ทนรวยแบบนั้นได้ มีคนจำนวนมากเห็นราคาหุ้นวิ่งไป 20-30% ก็อยากที่จะขายทำกำไรแล้ว
แต่หุ้นที่ขาดทุนก็เก็บมันไว้อยู่อย่างนั้น พฤติกรรมนี้ผมมักจะเรียกว่า "เด็ดดอกไม้ แต่ดันไปรดน้ำวัชพืช" สักวันในพอร์ตของคุณก็จะเต็มไปด้วยวัชพืชหรือหุ้นที่ขาดทุนนั้นเอง และเงินของคุณก็อยู่ในวัชพืชเหล่านั้น คุณจำเป็นที่จะต้องปล่อยให้ผู้ชนะวิ่งต่อไป
ในชีวิตนี้คุณต้องหาหุ้น 10 เด้งให้เจอเพื่อพลิกชีวิต ตอนที่ผมบริหารกองทุนแมกเจนแลน ผมมีหุ้นเป็นพันตัวในกองทุน แต่มีหุ้นไม่กี่ตัวที่เป็นหุ้น 10 เด้ง เพียงเท่านั้นผมก็กลายเป็นตำนานผู้จัดการกองทุน สรุป คือ คุณต้องหาหุ้น 10 เด้งให้เจอ นี้เป็นปรัชญาของผม
แล้วก็อีกพฤติกรรมหนึ่งคือ การตัดขาดทุน ผมพูดจริงๆว่าผมไม่ชอบการตัดขาดทุนเท่าไร เพราะเท่ากับว่าคุณได้ทำมันขาดทุนจริงๆ เงินต้นคุณหาย จริงๆถ้าคุณหาเหตุผลในการถือหุ้นตัวนี้ไม่ได้ คุณก็ไม่ควรถือมันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ทีมงาน : ตอนที่คุณบริหารกองทุนครั้งแรก ตลาดหุ้นตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้างครับ
ปีเตอร์ ลินซ์ : ตลาดหุ้นเริ่มวิ่งในช่วงปี 1950 ครับ ตลาดมันก็เป็นตลาดกระทิงแบบเต็มตัวตลอดหลายปี ถ้าผมจำไม่ผิดมันน่าจะอยู่ราวๆพันจุด จนถึงช่วงปี 1965-1966 มันเป็นช่วงตลาดแตะจุดสูงสุด และผมก็เามาทำงานในปี 1966 พอดี มันบังเอิญจริงๆ ตอนนั้นมีคนมาสมัครงานในฟิเดลลิตี้ 75 คน เพื่อแย่งงาน 3 ตำแหน่ง ผมก็ได้เป็นหนึ่งในนั้น
ตลาดก็รับน้องผมด้วยการลดลงอย่างรุนแรงตลอด 16 ปี คือ ปี 1982 มันปิดที่ 777 จุด พวกเราต้องทนต่อความยากลำบากมากครับ แล้วก็ตลาดหุ้นไม่ได้เล่นกันง่ายๆเหมือนปี 1950 ที่ทุกคนในตลาดต่างเฝ้ามอง เฝ้าดูและรอคอยให้หุ้นตกเพื่อที่จะเข้าไปลงทุนบ้าง แต่มันก็ไม่ยอมตกสักที พวกเขาทนไม่ไหวที่เห็นหุ้นขึ้นทุกวันจึงตัดสินใจซื้อหุ้นในช่วงปี 1965 และมันก็เป็นจุดสูงสุดพอดี
ตลาดหุ้นจะเล่นอยู่กับความโลภและความกลัวกับคุณตลอดเวลา ถ้าคุณลงทุนในช่วงเวลาที่รู้สึกอึดอัด มันอาจจะเป็นจังหวะที่ดีในการลงทุน แต่ถ้าเมื่อไรเราลงทุนไปด้วยความสบายใจ มีความสุข แสดงว่าตรงนั้นน่าจะเป็นจุดสูงสุดของรอบ
แปลและเรียบเรียงโดย SiTh LoRd PaCk
-------------- จบตอน 1 --------------
ปุกาศๆ... ถึงเพื่อนๆเหล่าหนอนหนังสือ วันที่รอคอยมาถึงแล้ว
งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ
13-24 ตุลาคม ศูนย์ประชุมสิริกิติ์
งานนี้ไม่ได้มีแค่ส่วนลด 15-35% แต่มีของแถมเพียบ!
เจอกันที่บูธ stock2morrow หมายเลข K16