"เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ" นี้คือคำพูดของผู้ที่ประสบความสำเร็จทุกคนได้กล่าวเอาไว้ กว่าที่เขาจะมีวันนี้ได้นั้นไม่ง่ายเพียงแต่คนรุ่นหลังที่ศึกษาประวัติเขารู้สึกว่ามันง่ายที่จะไปถึง ณ จุดนั้น วอเร็น บัฟเฟตต์ก็เช่นเดียวกัน การทำเงินจากตลาดหุ้นเป็นความฝันของเด็กรุ่นใหม่หลายๆคนที่อยากจะเรียนแบบวอเร็น บัฟเฟตต์ แต่ในที่สุดแล้วก็มีน้อยคนนักที่จะไปถึง
ครั้งหนึ่งวอเร็น บัฟเฟตต์ เคยให้สัสภาษณ์ว่าตลอดระยะเวลาการลงทุนของเขา เขาทำสิ่งที่ผิดพลาดมากมายจนเขียนออกมาได้ไม่หมดแต่มีอยู่ 3 ครั้งที่เขาอยากให้นักลงทุนรุ่นใหม่ได้ศึกษาไว้เป็นกรณีตัวอย่าง มีอะไรกันบ้าง เรามาดูกันครับ
1. การเข้าซื้อบริษัทน้ำมันอย่าง ConocoPhillips
ความผิดพลาด คือ การซื้อในราคาแพง
ConocoPhillips คือบริษัททำน้ำมันแบบครบวงจรตั้งแต่ขุดเจาะ สำรวจ โรงกลั่น และส่งขายตามปั้มน้ำมัน เป็นการควบรวมของสองบริษัท คือ Conoco Inc. และ Phillips Petroleum Co เมื่อไม่นานมานี้ก็ได้แตกบริษัทย่อยเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทำเกี่ยวกับโรงกลั่นน้ำมัน คือ Phillips 66 ที่วอเร็น บัฟเฟตต์พึ่งจะไปซื้อมาตอนที่ราคาน้ำมันตกต่ำ ..
ในปี 2008 หลังจากทำกำไรขายหุ้นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ในประเทศจีนอย่าง Petro China บัฟเฟตต์ได้กลับมาซื้อบริษัทน้ำมันในอเมริกาอีกครั้งอย่าง ConocoPhillips ซึ่งบัฟเฟตต์เชื่อว่าราคาน้ำมันน่าจะสูงขึ้นอีกในอนาคตเพราะความต้องการซื้อยังคมสูงอยู่ และเมื่อดีมานต์สูงต่อเนื่อง ConocoPhillips ก็จะได้ประโยชน์เต็มๆ อย่างไรก็ตามการลงทุน ConocoPhillips กล้ายมาเป็นฝันร้ายของบัฟเฟตต์ เพราะบัฟเฟตต์ใช้กำไรที่ได้จากการขาย Peter China เข้าลงทุน ConocoPhillips ในราคาที่สูงเกินไป (ราคาน้ำมันตอนนั้นอยู่สูงกว่า 100 เหรียญต่อบาร์เรล) ตอนนั้นบัฟเฟตต์เรียนรู้ประสบการณ์ข้อหนึ่งมาแล้วว่าการซื้อธุรกิจที่ดีในราคาที่สมเหตุสมผลย่อมดีกว่าการซื้อธุรกิจงั้นๆในราคาที่ถูก
"ถึงแม้ว่า ConocoPhillips จะเป็นบริษัทที่ดี แต่ผมไม่ได้เข้าซื้อในราคาที่สมเหตุสมผล ผมซื้อมันแพงเกินไป" บัฟเฟตต์กล่าว ราคาที่สมเหตุสมผลกับราคาแพง ไม่ได้เป็นสิ่งเดียวกัน นักลงทุนที่คาดหวังมากเกินไปมักจะใส่ค่าพรีเมี่ยมให้กับตัวหุ้น และนั้นเป็นกับดักอีกข้อสำหรับนักลงทุน
2. การเข้าซื้อบริษัทการบิน U.S. Air
ความผิดพลาด คือ คาดหวังถึงการเติบโตมากจนเกินไป
ก็อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น การคาดหวังการเติบโต ก็มักจะตามมาด้วยการใส่ค่าพรีเมี่ยมให้กับตัวหุ้น และเหตุผลต่างๆนานๆที่บอกนักลงทุนว่าควรซื้อหุ้นตัวนี้เพราะเติบโตสูง ก็มักจะทำให้นักลงทุนคาดทุนมาแล้วนักต่อนัก ...
วอเร็น บัฟเฟตต์ซื้อหุ้น U.S. Air ในปี 1989 มันเป็นเรื่องไม่น่าสงสัยเลยที่นักวิเคราะห์ต่างก็เชียร์ว่าหุ้น U.S. Air คือหุ้นแห่งอนาคตที่มีการเติบโตสูง การเดินทางโดยอากาศจะเป็นเมกะเทรนในอนาคต วอเร็น บัฟเฟตต์เล็งเห็นว่าธุรกิจการบิน คือ ธุรกิจแห่งอนาคตจริงๆ คนจะนิยมเดินทางไปไหนมาไหนด้วยเครื่องบินมากขึ้น และงบย้อนหลังของ U.S. Air ก็เติบโตขึ้นจริงๆ แต่ธุรกิจการบินมีข้อเสียอยุ่อย่างหนึ่ง คือ เป็นธุรกิจที่ต้องลงทุนสูงและมีค่าเสื่อมราคาสูงมาก .. ทังนี้ทั้งนั้นเมื่อนักลงทุนมองแนวโน้มการเติบโตแล้วต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "มะนาวก็สามารถหวานได้".. ! เมื่อบัฟเฟตต์เข้าไปซื้อหุ้น U.S. Air มะนาวหวานลูกนี้ก็กลายเป็นมะนาวเปรี้ยวโดยทันที ..
บัฟเฟตต์ ใช้เงินลงทุนไป 380 ล้านเหรียญเพื่อซื้อหุ้น 60 ล้านหุ้น บัฟเฟตต์มองว่าธุรกิจเติบโตดี และการปันผลน่าจะอยู่ราวๆ 9% สุดท้ายแล้ววอเร็น บัฟเฟตต์ก็ขายหุ้นทิ้งออกไปพร้อมกับกำไรและหุ้นบางส่วนที่ต้องขายขาดทุนออกไป แต่เมื่อหักลบกันแล้วก็ได้กำไรอยู่นิดหน่อย
วอเร็น บัฟเฟตต์ วิเคราะห์ย้อนหลังว่า เขาคิดถูกเกี่ยวกับธุรกิจการบินเพราะผ่านมา 20 ปี มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ คนนิยมเดินทางโดยเครื่องบินมากขึ้น มันเป็นเมกะเทรนอย่างที่คาด แต่เนื่องจากธุรกิจสายการบินเป็นธุรกิจที่มีค่าเสื่อมสูง ไม่มีความภักดีต่อแบรน ลูกค้าสามารถย้ายไปนั่งสายการบินอื่นถ้ามีที่ถูกกว่า และที่สำคัญคือ ไม่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขัน ใครๆก็สามารถเข้ามาทำธูรกิจนี้ได้ ถ้ามีเงินทุนเพียงพอ บัฟเฟตต์ยังพูดติดตลกว่า ถ้าเขาเกิดทันสองพี่น้องตระกูลไรท์ (คนที่ประดิษฐ์เครื่องร่อนลำแรกของโลก) เขาคงจะเอาหนังสติ๊กไปสอยสองคนนั้นลงมา เพื่อเห็นแก่นักลงทุนที่ขาดทุนในวันนี้ .. "เห็นไหมครับ คนที่ลงทุนธุรกิจการบินในวันนั้น ต่างก็คิดถูกเรื่องสายการบินจะเป็นธุรกิจแห่งอนาคต แต่จะมีสักกี่คนที่จะเสพสุขอยู่บนความสำเร็จนั้น"
"When investing, pessimism is your friend, euphoria the enemy" (ในเรื่องของการลงทุน การมองโลกในแง่ร้ายคือเพื่อน บรรยากาศแห่งความครึกครื้นคือศัตรู) ในเรื่องของการลงทุน ถ้าคนรอบข้างต่างมองโลกในแง่ร้าย นั้นแหละคือจังหวะที่ดีที่จะลงทุน ในขณะเดียวกันถ้าใครๆต่างก็ยินดีกับตลาดหุ้น จงระวังเอาไว้ .. บัฟเฟตต์กล่าวทิ้งท้าย
3. การเข้าซื้อบริษัทผลิตรองเท้าอย่าง Dexter Shoes
ความผิดพลาด คือ การลงทุนในบริษัทที่ไม่มี "ความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างหยั่งยืน" (sustainable competitive advantage)
ในปี 1993 วอเร็น บัฟเฟตต์ได้ซื้อบริษัทผู้ผลิตรองเท้าหนัง Dexter Shoes ซึ่งเป็นการซื้อที่ไม่ได้ใช้เงินสด แต่เป็นการใช้หุ้นของเบิร์กไซด์ ฮาธาเวย์แลกมา มูลค่าประมาณ 400 ล้านเหรียญ (แปลงเป็นหุ้นเบิร์กไซด์คลาส A ประมาณ 25,203 หุ้น) ในตอนนั้นรองเท้า Dexter Shoes ถือว่าเป็นรองเท้าคุณภาพเยี่ยม ผู้ชายนิยมใส่เดินเล่นหรือแม้กระทั่งใส่ไปทำงาน และเป็นสินค้าที่จะมีการหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ไม่ต่างอะไรกับแปรงสีฟัน บัฟเฟตต์เห็นว่าบริษัทมี "คูเมือง"ที่ได้เปรียบทางการแข่งขัน คือ แบรนที่แข็งแกร่ง งบย้อนหลังถือว่าดีมาก บริษัทมีการเติบโตของรายได้ทุกปี ..
แต่น่าเสียดายหลังจากที่บัฟเฟตต์ลงทุนไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ การเข้ามาทำตลาดรองเท้าราคาถูกจากเอเชีย ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น หันมานิยมสินค้าเลียนแบบที่มีราคาถูก ที่สำคัญคือไม่มีใครถามว่า "คุณใส่รองเท้าของ Dexter Shoes หรือเปล่า ?" ยอดขายของ Dexter Shoes ลดลง ความได้เปรียบทางการแข่งขันเริ่มถูกทำลายจากการเข้ามาตีตลาดรองเท้าของประเทศในแถบเอเชีย เป็นไปตามกฏที่ว่า หุ้นคือธุรกิจ ถ้าธุรกิจดีหุ้นก็จะดีด้วย แต่ถ้าธุรกิจแย่ หุ้นก็จะแย่ตามธุรกิจไป
วอเร็น บัฟเฟตต์เขียนรายงานประจำปีของเบิร์กไซด์ ฮาธาเวย์เอาไว้ว่า "What I had assessed as durable competitive advantage vanished within a few years. This investment was the worst he has ever made (นี้คือดีลที่เลวร้ายที่สุดสำหรับผม การคิดถึงเรื่องความได้เปรียบทางการแข่งขัน ต้องคิดด้วยว่ามันยั่งยืนหรือเปล่า แต่สำหรับ Dexter Shoes มันถูกทำลายไปเพียงไม่กี่ปี) นี้คือความผิดข้อแรก
ความผิดข้อที่สอง คือ ผมดันเอาหุ้นเบิร์กไซด์ ฮาธาเวย์ ไปแลกมา นี้เป็นการทำร้ายผู้ถือหุ้นอย่างแท้จริง ถ้าเรากลับมาคิดถึงมูลค่าหุ้นสองหมื่นกว่าหุ้นที่แลกไป มันจะมีมูลค่าสูงถึง 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐในปัจจุบัน มันแย่ยิ่งกว่าจ่ายเงินซะอีก
อย่างไรก็ตาม วอเร็น บัฟเฟตต์ เสริมอีกว่า "A truly great business must have an enduring "moat" that protects excellent returns on invested capital." ธุรกิจที่ยอดเยี่ยมจะมีคูเมืองที่แข็งแกร่ง และคูเมืองนั้นไม่ใช่คูเมืองที่จะถูกทำลายได้ง่ายๆ บริษัทที่มีคูเมืองที่แข็งแกร่ง จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน
เห็นไหมครับ ขนาดนักลงทุนชั้นเซียนอย่างวอเร็น บัฟเฟตต์ การเดินทางของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ การขาดทุนของเขาเป็นพันล้าน ร้อยหลายเหรียญ แต่สิ่งที่สำคัญ คือหลังจากที่เขาผิดพลาดแล้ว เขาสามารถนำมาเรียบเรียงเป็นเรื่องราวได้ และไม่ทำมันอีก นี้เป็นเคล็ดลับความร่ำรวยของเขา
สำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ สิ่งที่เราน่าจะทำได้ คือ ศึกษาประสบการณ์ของเขา โดยไม่ต้องใช้เวลาของตัวเองในการศึกษาจะเป็นการลดระยะเวลาและทำให้เราประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น ..
หวังว่าบทความชิ้นนี้จะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนทุกคนครับ
ผู้เขียน SiTh LoRd PaCk