#แนวคิดด้านการลงทุน

โฮเวิล์ด มาร์ค เทพหุ้นที่แม้แต่ปู่บัฟเฟตต์ยังต้องยกนิ้วให้ รวม 12 ข้อคิด (ตอนแรก)

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
275 views

โฮเวิล์ด มาร์ค (Howard Marks) นักลงทุนเน้นคุณค่าอีกคนที่นักลงทุนชาวไทยควรรู้จัก



ถ้าพูดถึงนักลงทุนที่กลายเป็นตำนานแล้ว คนไทยคงจะรู้จักกันไม่มากนัก เช่น วอเร็น บัฟเฟตต์ , ปีเตอร์ ลินซ์ , จอห์น เนฟฟ์ และแอนโทนี่ โบลตั้น ซึ่งบุคคลเหล่านี้ก็รู้มาจากหนังสือที่นำมาแปลเป็นภาษาไทย

แต่ตอนนี้มีนักลงทุนเน้นคุณค่าอีกคนที่ชาวไทยควรรู้จักที่แม้แต่วอเร็น บัฟเฟตต์ ยังติดตามงานเขียนของเขา คนผู้นั้นคือ โฮเวิล์ด มาร์ค ผู้ก่อตั้งและผู้จัดการกองทุน Oaktree Capital Management ผู้มีปรัชญาการลงทุนเน้นคุณค่าสายอนุรักษ์นิยมท่านหนึ่งไม่แพ้เบนจามิน เกรเฮม เลยก็ว่าได้

โฮเวิล์ด มาร์ค เป็นนักลงทุนชาวอเมริกา เกิดที่นิวยอร์ค ครอบครัวของเขาค่อนข้างที่จะมีฐานะระดับหนึ่งทำให้เขาได้เรียนหนังสือในมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่างโรงเรียนธุรกิจวอร์ตันแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิวาเนีย เขาเลือกเรียนวิชาไฟแนนซ์การเงิน และวิชารองเป็นภาษาญี่ปุ่น ต่อมาเขาจบปริญญาโทสายการบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยชิคาโก้ จากนั้นเขาก็ย้ายไปอยู่ที่ลอสแองเจอริส และเข้าทำงานที่ Citicorp , TCW และ มาตั้งบริษัทเองในภายหลัง

ที่ Citicorp เขาทำงานในสายวิเคราะห์หลักทรัพย์ และย้ายไปทำงานที่ TCW เป็นฝ่ายบริหารพอร์ตโฟลิโอ้ที่ดูแลทางด้านตราสารหนี้ที่ให้ดอกเบี้ยสูง(high yield bonds )และหลักทรัพย์แปลงสภาพ(convertible securities) ต่อมาในปี 1995 เขากับเพื่อนอีก 5 คนก่อตั้งบริษัท  Oaktree Capital Management บริษัทจัดการกองทุนและที่ปรึกษาทางการลงทุนเน้นเฉพาะด้านตราสารหนี้ที่ให้ดอกเบี้ยสูง ตราสารทุน บริหารหนี้ด้อยคุณภาพ(distressed debt) และกองทุนส่วนบุคคล

ผลตอบแทนอยู่ที่ 17% ถือว่าเป็นผลงานที่ประทับใจ ในขณะที่ปีเตอร์ ลินซ์อยู่ที่ 29% และวอเร็น บัฟเฟตต์อยู่ที่ 16% อะไรทำให้คนเหล่านี้ชนะตลาดได้อย่างยาวนาน ?

Oaktree Capital สร้างผลตอบแทนได้น่าประทับใจและเหนือกว่าอีกหลายกอง ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 17% (รวมค่าบริหารกองทุนแล้ว) นอกจากนี้ โฮเวิล์ด มาร์คยังเป็นที่ปรึกษาการลงทุนของบริษัท Jadwa Investment ของซาอุดิอาระเบียอีกด้วย

โฮเวิล์ด มาร์ค มีงานเขียนอยู่หลายชิ้นซึ่งเขาจะเขียนอยู่บทเว็บไซด์ของ Oaktree Capital อยู่แล้วซึ่งเขาใช้ชื่อว่า memos to Oaktree clients ความนิยมไม่ต่างกับจดหมายถึงผู้ถือหุ้นของวอเร็น บัฟเฟตต์มากนัก และบัฟเฟตต์เองก็ยกย่องว่าเขาเป็นคนที่เข้าใจหลักการลงทุนเน้นคูณค่าได้อย่างถ่องแท้ไม่ต่างจากเบนจามิน เกรแฮม ตอนยังมีชีวต

ในปี 2011 โฮเวิล์ด มาร์ค ได้เขียนหนังสือ ชื่อ The Most Important Thing: Uncommon Sense for the Thoughtful Investor through (แก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า แปลโดย พรชัย รัตนนนทชัยสุข)  ซึ่งได้รับการยกย่องจากสื่ออเมริกาว่าเป็นหนังสือที่ควรค่าแก่การอ่านสำหรับนักลงทุน การบริหารความเสี่ยง การค้นหาหลักทรัพย์ที่ต่ำกว่ามูลค่าเพื่อสร้างผลตอบแทน ... วอเร็น บัฟเฟตต์ยังกล่าวชมว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่นักลงทุนเน้นคุณค่าควรอ่านเป็นอย่างยิ่ง

และนี้ก็เป็นหนึ่งในนักลงทุนเน้นคุณค่า ตำนานที่นักลงทุนชาวไทยควรรู้จัก ตอนต่อไปเรามาดูกันครับว่าปรัชญาการลงทุนของเขามีอะไรกันบ้าง

ประสบการณ์หุ้น 12 ข้อ จากนักลงทุนที่บัฟเฟตต์ยังยอมรับ Howard Marks

1. “The biggest investing errors come not from factors that are informational or analytical, but from those that are psychological.”
ข้อผิดพลาดของนักลงทุนไม่ได้มาจากข้อมูลหรือการวิเคราะห์ แต่ล้วนมาจากอารมณ์ของตัวเอง

มีคำพูดหนึ่งที่ผมพิสูจน์มาแล้วตลอดระยะเวลาการลงทุน คือ โอกาสซื้อที่ดีที่สุด มาจากซื้อในขณะที่คนอื่นกำลังขายด้วยความตื่นตระหนก .. จิตวิทยาที่ผิดพลาดของนักลงทุนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาแม้แต่นักลงทุนผู้มากประสบการณ์ การซื้อในขณะที่คนอื่นขายพูดง่ายแต่ทำได้ยาก ถ้าคุณไม่มีประสบการณ์มาก่อน คุณจะโดนมวลชนพัดพาไป อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณอยากจะชนะตลาดได้ในระยะยาว จงเอาชนะอารมณ์ของตัวคุณเอง

 

2.  “Rule No. 1:  Most things will prove to be cyclical. – Rule No. 2:  Some of the greatest opportunities for gain and loss come when other people forget Rule No. 1.”
กฏข้อแรก เกือบทุกสิ่งล้วนเป็นวัฐจักร กฏข้อที่สอง กฏข้อแรกจะเป็นตัวบอกว่านักลงทุนคนใดกำไร นักลงทุนคนใดขาดทุน

หุ้นไม่มีวันขึ้นหรือลงตลดไป นั้นแสดงว่าทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีการ"หยุด" ไม่ว่าหุ้นจะขึ้นไปถึงไหนก็ต้องหยุด หรือหุ้นที่ลงมีแต่ข่าวร้ายสุดๆ สักวันมันก็ต้องกลับมาเป็นขาขึ้น เราเรียกสิ่งนี้ว่าวัฐจักร .. หุ้นตัวเดียวกันแต่ซื้อต่างเวลากัน นักลงทุนอีกฝั่งทำกำไรได้มหาศาล แต่อีกฝั่งก็ขาดทุนมหาศาลเช่นเดียวกัน นั้นเป็นเพราะนักลงทุนยังไม่เข้าใจคำว่า "วัฐจักร" ดีพอ

 

3.  “We don’t know what lies ahead in terms of the macro future. Few people if any know more than the consensus about what’s going to happen to the economy, interest rates and market aggregates. Thus, the investor’s time is better spent trying to gain a knowledge advantage regarding ‘the knowable’: industries, companies and securities.
เราเสียเวลาไปเท่าไรแล้วกับการคาดการณ์เศรษฐกิจในภาพใหญ่ แทนที่จะเอาเวลาส่วนใหญ่ไปกับการเจาะลึกบริษัท เข้าใจธุรกิจ ความแข็งแกร่งของงบดุล และบริษัทจะมีโครงการอะไรในอนาคต ?

นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจมหัพภาค แต่พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับมันมากที่สุด การลงทุนในหุ้นต้องทำให้มันเป็นเรื่องเบสิคมากที่สุด (simplest possible system) ไม่จำเป็นต้องคิดให้ซับซ้อน ผมมีหลักคิดอยู่เสมอว่า เราไม่ควรพนันในภาพใหญ่


4.  “We can make excellent investment decisions on the basis of present observations.
การลงทุนที่ดีมาจากการสังเกตในเรื่องชีวิตประจำวัน

นักลงทุนชั้นเซียนเช่นวอเร็น บัฟตเฟตต์, ชาลี มังเกอร์, ปีเตอร์ ลินซ์ ล้วนแต่ไม่ได้ทำนายภาพใหญ่ หรือคิดแบบนักเศรษฐศาสตร์ แต่มาจากการสังเกตสิ่งที่อยู่รอบตัว และการใช้ชีวิตประจำวัน เช่นโค๊ก บัฟเฟตต์ซื้อโค๊กเพราะเขาชอบดื่มมัน และคิดว่าคนอีกหลายพันล้านคนก็ชอบมัน

 

5.  “There are two essential ingredients for profit in a declining market: you have to have a view on intrinsic value, and you have to hold that view strongly enough to be able to hang in and buy even as price declines suggest that you’re wrong. Oh yes, there’s a third; you have to be right.”
มีกฏ 2 ข้อที่จะสามารถทำกำไรได้ในขณะที่ตลาดกำลังลง  ข้อ 1 คุณจะต้องรู้ดีว่าตัวธุรกิจที่คุณถือ"มีมูลค่าโดยเนื้อแท้"(intrinsic value)อยู่ประมาณเท่าไร ข้อ 2 คุณจะต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งพอที่จะกล้าถือและซื้อเพิ่มเมื่อราคามันลงต่อ อ่อ! มีข้อ 3 ด้วย คือ คุณจะต้องมั่นใจว่าคุณคิดถูก !

 

6. “It is our job as contrarians to catch falling knives, hopefully with care and skill. That’s why the concept of intrinsic value is so important. If we hold a view of value that enables us to buy when everyone else is selling – and if our view turns out to be right – that’s the route to the greatest rewards earned with the least risk.”
การรับมีดที่หล่นลงมาจากฟ้า (การเข้าซื้อในขณะที่หุ้นตก - ผู้แปล) เป็นงานของพวกชอบสวนกระแส ซึ่งถ้าคุณอยากจะเป็นอย่างนั้นคุณจะต้องเฝ้าติดตามมันและมีทักษะในการรับมีด คุณจะต้องเข้าใจมูลค่าโดยเนื้อแท้ของหุ้นตัวนั้นๆ คุณจะต้องมีความมั่นใจในตัวเองที่จะกล้าบอกว่ามุมมองของคุณถูก ในขณะที่คนอื่นกำลังขายหุ้นตัวนั้นๆออกมา และสักวันหนึ่งเมื่อมันถูกพิสูจน์ว่าคุณคิดถูก คุณจะได้กำไรมหาศาลจากการรับมีด.

 

ตอนนี้ยาวแล้ว ติดตามต่อ ตอนที่ 2 ครับ แปลและเรียบเรียงใหม่โดย SiTd LoRd PaCk ขอบคุณแหล่งข้อมุลจาก 25iq.com

ขอประกาศนิดนะครับ 555

คือว่าตอนนี้เครือ 2morrow group เติบโตอย่างเร็ว เราเลยเปิดรับน้อง Part-Time เป็นจำนวนมาก สนใจคลิกรูปข้างล่างนี้เลยครับ


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง